วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

คำขอโทษ

อันนี้ออกจะเป็นเรื่องส่วนตัวหน่อยนึงนะ :D
เราก็พ่นๆเรื่องของตัวเองนี่แหล่ะ 555++
ยาวแล้วก็ซ้ำซ้อนกับที่เคยเขียนในสเปซนะ


เมื่อกี้เพิ่งโทรหาแม่เรามา
แม่ร้องไห้หนักเลยล่ะ
แม่บอกว่า เมื่อวานก็ร้องไห้
บ่นเสียใจกับสิ่งที่เคยทำกับเราไว้
แม่บอกว่า แม่เลี้ยงเราไม่ดี
ตอนม.ปลาย เราต้องหิ้วขนมไปขายที่รร.
บางวันไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ
บางทีต้องซื้อข้าวทีละสองสามโล
เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อข้าวเป็นถุงๆ
ตอนเย็นกลับมาบ้าน เราก็จะมาช่วยแม่ขูดมะพร้าว (เป็นมะหมี่เชียว)
แล้วก็วางกล่องวุ้นเพื่อให้แม่เอาวุ้นมาหยอด
บางวันทำถั่วแปปขนมต้ม
ก็ช่วยขูดมะพร้าวฝอยๆ
แล้วก็ใส่กล่องเอาไปขายให้ครูกับเพื่อนที่โรงเรียน
บางทีเราหิ้วมาแต่เช้าบ้าง
แต่ถ้าเป็นขนมต้มกับถั่วแปปแม่ก็จะเอามาให้ตอนพักกลางวัน
พูดๆไป มันมีคนที่ชีวิตลำบากกว่าเราเยอะ
แต่ตอนเด็กๆ ฐานะทางบ้านเราก็ไม่ได้เดือดร้อน
แม่ก็ทำงานส่งให้เรามีกินมีใช้
ไม่ต้องถึงขั้นไม่มีจะกิน
เราเคารพแม่ในจุดนี้มาก
ผู้หญิงคนเดียวที่เสียสามีไปตอนสามสิบห้า
เรียนจบแค่ชั้นประถมสี่
เลี้ยงลูกสองคน คนนึงตอนนั้นอายุสิบสาม(คือพี่ชายเราที่ตอนนั้นอยู่กับป้า)
แล้วก็เรา อายุสามขวบครึ่ง
แม่เลี้ยงเรามา เรียกได้ว่าอิ่มหนำ
อยากกินอะไรก็ได้กินนะ
จนมาช่วงม.ปลายแหล่ะ ที่มีปัญหา
แม่ร้องไห้ทุกวัน
เราก็ร้องไห้นะ
ตอนนั้นแม่ไม่รู้ว่าชีวิตจะทำยังไงต่อไปดี
เราก็บอกแม่ว่าชีวิตก็เหมือนกับกลอนที่เราเคยอ่านเจอ
เดี๋ยวพอผ่านกลางคืนไป ฟ้าก็สาง
เดี๋ยวชีวิตผ่านเรื่องแย่ๆ
มันก็จะค่อยๆดีขึ้นมา

จริงๆเราพยายามตั้งใจเรียนช่วงม.ปลายนะ
เพราะพอเราอ่านหนังสือเรียน เราก็จะลืมเรื่องต่างๆ
ตอนนั้นไม่ได้คิดมาก หรือรู้สึกแย่
อยู่รร.ก็รับจ๊อบเพื่อนวาดรูปและทำชีทงานภาษาอังกฤษส่ง
ก็มีรายได้ เราขยันแล้วเราก็ได้ตัง ถือว่าวิน วิน 555++
ที่มาหนักจริงๆก็ช่วงอยู่มหาลัยมั้ง
ตอนนั้นได้ทุนจากรัฐเดือนละสี่พัน
ต้องอาศัยอยู่ในกรุงเทพ
ค่าหอก็เกือบสองพันแล้ว
ตอนนั้นเหลือกินอาทิตย์ละพันกว่าบาท
เคยมีครั้งนึง เหลืออยู่ห้าร้อย ต้องกินไปถึงสิ้นเดือน
ตอนนั้นยังกลางๆเดือนอยู่เลย
นั่งร้องไห้บ่อยมากช่วงนั้น ไม่รู้จะทำยังไง
แม่ไม่มีเงินแน่ๆ พี่ชายเราก็ไม่มี
เราก็ไม่กล้ายืมเพื่อน เพราะดูจากรูปการณ์เราก็ไม่มีปัญญาหาเงินมาคืนพวกมัน
ใช้ชีวิตอย่างนั้นอยู่สา่มสี่เดือน ก่อนที่เพิ่อนจะบอกให้ไปหาพี่ที่สอนพิเศษ
ให้เค้าหาเด็กมาให้สอน
ตอนนั้นถึงลืมตาอ้าปากได้
เราบอกว่า รับสอนเกือบทุกวิชาเลย ยกเว้นเลขกับฟิสิกส์ม.ปลาย
เคมี ชีวะ ภาษาอังกฤษ หนูสอนได้หมดเลยค่ะพี่
ตอนนั้นไม่เลือกอะไรทั้งนั้น บางทีไปลองสอนน้องครั้งแรกๆ
เรานั่งรถไปสอนไกลมาก รถติด บางวันฝนตก
ไปสอนแล้ว เค้าก็ไม่เอา ก็ไปฟรีๆ
หลงทางบ้าง นั่งรถมอไซค์รับจ้างเข้าซอยลึกๆเปลี่ยวๆบ้าง
เราก็ต้องไป เพราะเราไม่มีกินไง
มีเพื่อนบอกเราว่า ทำไมเราเป็นคนคิดมาก ทำไมถึงวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา
เราก็อยากจะบอกว่า ชีวิตนี้ เรายึดถือใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเราเองจริงๆ
มีอยู่ครั้งนึงช่วงที่ไม่มีกิน ไม่มีจะกินจริงๆ
ตอนนั่งรถเมล์ไปมหาลัย นั่งร้องไห้
นั่งคิดว่า กูจะทำไงกับชีวิตดีเนี่ย
พอถึงสี่แยกตึกชัย ก็หันไปเห็นเด็กขายพวงมาลัย
แล้วก็คิดได้ว่า เฮ้ย ชีวิตกรูดีกว่าเขาเยอะเลย
ดูสิ ได้ใส่ชุดนักศึกษา ได้เรียน ชีวิตเราไม่แย่เลย
เป็นคนโชคดีมากๆ ไม่เคยต้องลำบากยืนตากแดดตากควันร้อนๆ ขายพวงมาลัย
ตอนนั้นเราถึงตั้งหน้าตั้งตาลุกขึ้นสู้
ออกทำมาหากิน ออกสอนพิเศษ ไม่ใช่เพราะอยากร่ำรวย
แต่เพราะต้องหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง
โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม บางครั้งเด็กมาเรียนกันเยอะ ก็มีตัง
บางทีเด็กขอหยุดช่วงปิดเทอม ก็ต้องคิดแล้วว่า เดือนนี้จะเหลือเงินกินอยู่เท่าไหร่
เพราะฉะนั้นสายตาที่เรามองโลก มองเงิน มันต่างกันกับหลายๆคน

ที่เล่ามายืดยาวก็ต้องถึงเวลาวกกลับเข้าประเด็น
วันนี้แม่ร้องไห้
แม่บอกว่า แม่เสียใจเหลือเกินที่เลี้ยงลูกมาไม่ดี
เพราะความผิดพลาดที่แม่ทำช่วงเราอยู่ม.ปลาย
และการทำหลายๆอย่าง ที่แม่โทษตัวเองว่าแม่ผิด
แม่บอกว่าเรา แม่ขอโทษ
แม่บอกว่า แม่ไม่เคยเอ่ยปากขอโทษใครเลยสักครั้งในชีวิต
แม่บอกว่า แม่ขอโทษเรา
เสียงแม่เครือมาก แม่ร้องไห้เยอะมาก
เราก็น้ำตาไหล
เราบอกแม่ว่า แม่ฟังหนูนะ หนูไม่โกรธแม่
หนูยกโทษให้แม่ตั้งแต่วันที่แม่เคยคุยกับหนูช่วงที่หนูใกล้จบ
แม่บอกว่า บางอย่างที่แม่ทำไป เพราะแม่ไม่รู้จริงๆ
เมื่อก่อนหนูก็คิดนะ ทำไมแม่เราเป็นอย่างนี้วะ
แต่พอแม่พูดวันนั้น หนูก็คิดว่า แม่ทำดีที่สุดแล้ว
หนูให้อภัยแม่แล้วในวันนั้นจริงๆ
แม้ว่าแม่จะไม่ให้อภัยตัวเองมาจนถึงวันนี้ก็ตาม

วันนี้แม่ขอโทษเรา เราก็ขอโทษแม่
ที่บางครั้งเราอาจจะพูดจาไม่ดีกับแม่
เราให้อภัยตัวเองกับเรื่องที่ผ่านมา
และหวังว่าแม่จะให้อภัยตัวของแม่เองเช่นกัน


การลงโทษที่รุนแรงที่สุดก็คือการที่เราลงโทษตัวเอง
แล้วคิดว่าที่ผ่านมา เราผิด เราไม่น่าให้อภัย

ตัวเราเองก็พยายามฟังธรรมะ
แล้วมานั่งอธิบายให้แม่ฟัง
แม่ไม่เคยฟังธรรมะ เพราะวันๆแม่ต้องออกไปหาเงิน
เรื่องบางเรื่องที่อธิบายให้แม่ฟัง
พอผ่านไปอีกสองสามอาทิตย์
แม่ก็มาเล่าว่า ที่ฟังไป มันทำให้คิดได้นะ
เราก็ดีใจ เพราะแม่มีประสบการณ์ในชีวิตมาแล้ว
แค่บอกเล่านิดหน่อย ชี้นิดเดียว แม่ก็เห็น
แม่บอกว่า เมือวานตอนกลางคืน แม่นั่งร้องไห้เสียใจ
กับสิ่งที่ผ่านมา กับสิ่งที่ทำไว้กับเรา
หวังว่าคืนนี้ พอแม่เอ่ยทำว่าขอโทษกับเราแล้ว
แม่จะหันมาให้อภัยตัวเอง
แล้วลืมเรื่องราวที่ผ่านมา เหมือนที่เราให้อภัยแม่
แล้วเราก็ปลดความรู้สึกแย่ๆออกไปจากชีวิตเราได้


ที่เล่าเรียงเรื่องราวมาอย่างยาว(มาก)
ก็อยากจะให้เห็นว่า
บางทีการที่เราพูดและบอกเล่าความรู้สึกของเราอย่างตรงไปตรงมา
มันก็สำคัญและจำเป็นต่อการเยียวยาตัวเองและผู้อื่น
โดยเฉพาะคนใกล้ตัวของเรา ที่เรามักให้ความสำคัญในอันดับหลังๆ
เพราะมัวแต่คิดว่า จะทำเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
หรือรู้สึกกระดากเกินไปที่จะพูดออกมา

ถ้าตอนนี้มีอะไรค้างคาใจอยู่กับใคร
เดินไปบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อเขาเสีย
เพราะหากวันนึงเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ความรู้สึกผิดอาจจะถูกจองจำในหัวใจของเราตลอดไป
เพราะกุญแจที่จะไขเอาความรู้สึกผิดนี้ออกมา
ได้สลายหายไปพร้อมๆกับเขาคนนั้นเสียแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: