วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คิดถึง

ถึง คุณ


มีสถานที่หลายแห่งที่ฉันเคยไป

แต่มีไม่กี่แห่งที่ฉันเรียกมันว่าบ้าน

มีคนมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน

แต่คงมีไม่กี่คนที่ฉันเรียกพวกเขาว่าเพื่อน

มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตนี้

แต่คงมีไม่กี่เหตุการณ์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของฉัน

และไม่ว่าจะมีบ้านสักกี่หลัง เพื่อนสักกี่คน หรืิอความทรงจำสักกี่เรื่องราว

คุณคือความคิดคำนึงที่แจ่มชัดที่สุดในใจของฉันเสมอ


คิดถึง

ฉันเอง

อาจจะลืมไป

ที่ฉันเศร้าเพราะอาจจะลืมมองไปว่ามีใครอยู่ข้างๆ
ที่ฉันเศร้าเพราะอาจจะลืมมองไปว่ามีใครอยู่ข้างหลัง
ที่ฉันเศร้าเพราะอาจจะลืมมองไปว่ามีใครอยู่ข้างล่าง
ที่ฉันเศร้าเพราะอาจจะลืมมองไปว่ามีใครอยู่ข้างบนนั้น

ที่ฉันเศร้าคงเพราะฉันจำได้แค่ตัวเอง

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทาส

ช่วงนี้ทำงานมีรายได้บ้าง ก็คิดว่าจะเก็บเงินยังไง
รู้สึกปวดหัวที่ต้องมานั่งคิดว่า
จะฝากเงินยังไงถึงจะได้ดอกเบี้ยสูงสุด
พอมีเงินก็คิดว่า เออ.. อยากได้ไอ้นั่น อยากได้ไอ้นี่
หาทางใช้เงิน กลายเป็นว่าเหนื่อยหนักกว่าตอนไม่มีเงินเสียอีก

ตอนก่อนมาเีรียนก็เหมือนกัน
รู้สึกดีที่ได้มาเรียน
พอมาเรียนก็บ่นเหนื่อยหนัก กลุ้มอกกลุ้มใจกลัวไม่จบ
กลัวนั่นนี่สารพัดทั้งๆที่ควรจะรื่นเริงบันเทิงชีวิตกับสิ่งที่ชอบ
กลุ้มกว่าตอนที่ไม่ได้เรียนเสียอีก

เราว่าทุกอย่างแหล่ะมันทำร้ายเราได้
ถ้าเราปล่อยให้มันทำร้ายเรา
ชีวิตเราไม่เคยเป็นทาสที่แท้จริงของใครเลย
เว้นเสียแต่ว่าเรายอมเป็นทาสของมันด้วยตัวของเราเอง
เหมือนกับไฟ ถ้าเรารู้วิธีจัดการกับมัน
เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้
แต่ถ้าวันไหนเราปล่อยให้มันจัดการเรา เราก็เสร็จมัน

ชีวิตที่มีความสุขอาจจะไม่ได้อยู่ที่ความมีหรือไม่มี
ความเป็นหรือไม่เป็น
แต่อาจจะอยู่ที่ว่า "ความ..."เหล่านั้นมันเป็นเจ้านายเราอยู่หรือเปล่า
วันใดที่เราเป็นเป็นไทจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
วันนั้นอาจจะเป็นวันที่ชีวิตมีความสุขที่สุด

เหมือนนกที่แม้จะมีปีก ถ้าอยู่ในกรง ก็ไม่ได้บิน
จิตใจพันธนาการตัวเองเอาไว้ เรียกร้องเท่าใด ใจก็ไม่เคยได้รับอิสระ

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

วัด

เวลาขึ้นเึครื่องชั่ง
ไม่ว่ายังไงก็เครียด
ส่วนใหญ่จะเครียดว่าอ้วนขึ้น
แต่บางคนก็เครียดว่าผอมไป
เวลาวัดส่วนสูง หลายๆคนก็เครียด
เครียดว่าสูงไปบ้าง เตี้ยไปบ้าง
เวลาคะแนนสอบออก
คนได้น้อยก็เครียดว่าจะไม่ผ่าน
คนได้เยอะก็กลัวว่าคราวหน้าคะแนนจะไม่ดีเท่าเดิม


จริงๆพอเราเริ่มเปรียบเทียบหรือตีค่าอะไรสักสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่น
เราจะเริ่มมองเห็นข้อไม่ดีของมัน
ทำไมฉันอ้วนจัง
ทำไมแฟนเพื่อนหล่้อกว่าแฟนเรา
ทำไมสาวๆสมัยนี้มันโอโม่เหลือเกิน
ทำไมฉันไม่เรียบร้อยอย่างชาวบ้านบ้าง
แค่เราวัดตัวเองกับคนอื่น
ความสุขที่เรามีอยู่ ก็หายไปหลายเปอร์เซนต์แล้ว

นี่ยังไม่นับรวมที่คนอื่นมาวัดเรานะ
อย่างเวลาเจอหน้าคนรู้จัก
มีแต่คนทักว่า อ้วนขึ้นหรือเปล่า
ไปทำอะไรมาหน้าโทรมจัง
นี่เมื่อคืนนอนดึกใช่ไหม แพนด้ามาเชียว
ฟังแล้วยิ่งหน้าเหี่ยวกว่าเดิมไปอีก

บางทีก็เป็นเ้หมือนความคิดที่ฝังแน่นในสมองนะ
ยิ่งเราวัดอะไรบ่อยๆ พอเจออะไรก็วัดไปทั่ว
คนนั้นดี คนนี้เลว คนนี้ขาใหญ่โคตร คนนั้นแม่งหน้าสิว
คนนี้อย่างนั้น คนนั้นอย่างนี้
พอเห็นแต่ความไม่ดี เราจะเริ่มหงุดหงิดที่หัวใจ
เพราะว่าแต่ละคนแต่ละอย่างมันผิดมันพลาดมันไม่ได้อย่างใจทั้งนั้น

บางที ถ้าเราเอาเวลาที่ตีค่าคนอื่นไปทำอย่างอื่น
นอกจากชีวิตจะมีคุณค่ามากขึ้น
ความสุขอาจจะมาเยี่ยมเราบ่อยขึ้นก็ได้นะ

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

รักคงยังไม่พอ

วันนี้นั่งคุยกับเพื่อนเรื่องพ่อแม่บางคน
เลี้ยงลูกด้วยเงิน
เพื่อนฉันบอกว่า พ่อแม่ก็รักลูกไง
ฉันเลยถามว่า
ถ้าฉันรักเธอ
ฉันเลยซื้อเค้กให้เธอวันละก้อนทุกวัน
เพื่อเป็นการแสดงความรักต่อเธอ
ทั้งๆที่จริงๆแล้วเธอไม่ชอบเค้กเลย
เธอจะมีความสุขต่อความรักที่ฉันมอบให้ไหม


เพราะคำว่ารักอย่างเดียวคงยังไม่พอ
ที่จะสามารถทำให้คนที่เรารักนั้น
มีความสุขหรือดียิ่งขึ้นไปได้
ถ้าเราไม่เข้าใจในตัวของเขา
อาจกลายเป็นว่า เราไปทำให้เขารำคาญก็ได้
แล้วเราก็มานั่งเสียใจว่า
ความรักที่เรามอบให้ไปไม่มีประโยชน์ใดใด


และเพราะคำว่ารักคำเดียว
ที่ทำให้ใครบางคนกลายเป็นคนที่น่ารำคาญสำหรับเรา
หลายคนอาจเคยรู้สึกรำคาญพ่อแม่
ที่เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของพวกเขา
ที่คอยดุด่าว่ากล่าวลงโทษพวกเขา
ที่ไม่เคยมีเวลาดูแลพวกเขา
แต่จะมีสักครั้งนึงไหมที่พวกเขาจะระรึกได้ว่า
ที่พ่อแม่ทำไปทั้งหมดเพราะความรัก
ถึงบางครั้งจะขาดความเข้าใจไปบ้าง
ด้วยวัยที่ต่าง สังคมที่ต่าง สิ่งแวดล้อมที่ต่าง
แต่ที่ทำไปทั้งหมด ก็ด้วยความรัก

หรือบางที แค่คำว่ารัก ก็อาจจะเพียงพอแล้ว

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

คำถาม

แม่ถามว่าทำไมเราฟังธรรมะตั้งหลายครั้ง
ฟังครั้งเดียวไม่รู้เรื่องหรือไง
เราก็บอกว่าไม่รู้เรื่องหรือถ้ารู้ก็เข้าใจไม่ทั้งหมดหรอก
ถ้าฟังรอบเดียว บางอันต้องฟังหลายๆรอบ
แล้วมันจะเริ่มเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ
แม่เลยถามว่า แล้วอย่างนี้จะรู้ได้ไงว่าเข้าใจแล้ว
เราก็บอกแม่ว่า เหมือนเวลาแม่บวกลบเลขอ่ะ
ตอนไม่เข้าใจก็ทำไม่เป็น
แต่พอเข้าใจก็ทำเป็น
แต่ธรรมะอาจจะยากหน่อย
เพราะโจทย์(ชีวิต)มันซับซ้อน
ที่พระท่านเทศน์เนี่ยเป็นตัวอย่าง
เราอาจจะเข้าใจตอนฟังตัวอย่าง
แต่พอทำโจทย์เองกลับทำไม่ได้
ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ก็คือเราสามารถทำโจทย์นั้นได้
นั่นแหล่ะเข้าใจจริงๆ
ไม่ใช่แค่ฟังตัวอย่างแล้วพูดว่า เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว
นั้นคือ คิดว่าเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจจริงๆ

ในกระเป๋า

เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน
รู้สึกว่ากระเป๋าสะพายหนักมาก
จึงเปิดกระเป๋ารื้อๆดู
พบว่ามีของที่ไม่จำเป็นอยู่ในกระเป๋าเยอะมาก
เลยต้องหยิบของออกหลายชิ้น
ไม่งั้นหิ้วของหนักมากแล้วปวดไหล่


บางทีความคิดที่ไม่จำเป็น
ก็ต้องหยิบออกไปเหมือนกัน
ไม่งั้นหนักหัวตายกลายเป็นโรคประสาทเสียเปล่าๆ

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

เดินไป

ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก... ฉันนั่งมองเข็มวินาทีของนาฬิกาเดินไป
เข็มเดินวนอยู่กับที่ เดินไปเดินมาซ้ำๆอยู่กับที่เดิมๆ
ถ้ามันมีความรู้สึก นาฬิกาจะเบื่อบ้างไหม
ที่ต้องเดินวนไปเวียนมาตลอดเวลาอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น

แต่ถ้านาฬิกาไม่ยอมเดิน
มันก็คือนาฬิกาตาย
เป็นแค่พลาสติกที่มีเลขติดอยู่เท่านั้น


คนเราก็เหมือนกัน
บางทีเราอาจจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำนั้น
ทั้งเล็กน้อยและซ้ำซาก
แต่สิ่งที่เล็กน้อยและซ้ำซาก
กลับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเอง
และมีคุณค่าต่อคนอื่น

นาฬิกาเดินติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก... ต่อไป
แล้วฉันก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ตัวใหญ่

กระรอกถ้าตัวใหญ่กว่านี้อีกสองสามเท่า
ก็คงปีนกิ่งไม้เล็กๆไม่ได้
นกถ้าตัวใหญ่สองสามเมตร
ก็คงบินไม่ขึ้น
ส่วนพยาธิถ้าตัวอ้วนกว่านี้
ก็คงคับลำใส้

ของบางอย่างใหญ่ไปก็ไม่ดี
ต้องมีขนาดที่เหมาะสม


คนเราก็เหมือนกัน
บางทีทำตัวใหญ่คับโลก
ก็ไม่ได้ดูน่ารักหรือน่าเข้าใกล้
เท่ากับทำตัวเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย



(ป่าวหรอก วันนี้เจอคนพูดจากร่างๆมา.. ทำได้แค่หัวเราะหึหึ แล้วพูดว่า อ๋อ เหรอคะ...)

ประสบการณ์จากเด็กเสิร์ฟ(ที่เพิ่งทำงานมาได้สองวัน แต่ปวดหลังไปแล้ว)
;P

หยดน้ำไม่ใช่ของเรา

หลายคนเชื่อว่าตัวเองเป็นนักคิด
และนักคิดส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเองสร้างสรรค์ข้อเท็จจริง
ออกมาจากหัวของพวกเขา
ฉันเห็นว่านักคิดก็ไม่ต่างอะไรกับนักจัดดอกไม้
พวกเขาแค่เอาธรรมชาติที่มีอยู่มาเรียงร้อยเท่านั้น
หาใช่ผู้ที่สร้างดอกไม้เหล่านั้นขึ้นมา
หลายคนเชื่อว่าความคิดนั้นเป็นลิขสิทธิ์ของพวกเขา
แต่ฉันกลับเห็นว่าความคิดก็เป็นเหมือนหมู่เมฆที่ลอยไปมา
หมู่เมฆที่กลั่นตัวเป็นน้ำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
เพียงแต่คนที่เก็บกักน้ำฝนกลับคิดเอาเองว่า
น้ำนี้เป็นของพวกเขา
มีคนที่คิดเช่นนี้และตายไปจากโลกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว

หยุดมอง

ถึงแม้ว่าเราจะเดินผ่านดอกไม้ที่สวยที่สุดไป
เราอาจจะไม่รู้ว่ามันมีอยู่ด้วยซ้ำ
ถ้าเราไม่หยุดมองแล้วชื่นชมความงามนั้น

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

หายไป

พระจันทร์หายไป
ท้องฟ้าหายไป
เมฆขาวหายไป
ดอกไม้หายไป
รอยยิ้มหายไป

หลายๆอย่างหายไปจากชีวิตเรา
เพียงเพราะเราลืมเลือนมันไป

พระจันทร์หายไปเพราะเราลืมแหงนหน้ามองฟ้า
ดอกไม้หายไปเพราะเราลืมที่จะก้มมองพื้นดิน
รอยยิ้มหายไปเพราะเราลืมที่จะมีความสุข
คนที่เรารักหายไปเพราะเราลืมที่จะมอบความรักให้เขา
สุดท้าย ตัวเราก็จะหายไป เพราะว่าเราจะถูกลืมเลือนไปเช่นกัน

อีกทาง

คนเราสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้สองทาง
ทางหนึ่งคือ เดินเข้าไปในชีวิตของเขา
อีกทางหนึ่งคือ เดินจากมา

แต่บางที ฉันคิดว่า อาจจะมีทางที่สาม
นั่นคือ แม้ว่าเราจะอยู่หรือไม่อยู่
มันก็ไม่มีผลกระทบใดใดต่อวิถีชีวิตของเขา


บางทีก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า
ที่พบว่าตัวเองค่อยๆหายไป
ไม่สิ ต้องบอกว่าตัวเองไม่เคยมีตัวตน
เป็นแค่จุดเล็กเล็กจุดหนึ่งในโลก
ไม่เคยเป็นอะไรที่มากไปกว่านั้น

ตลกดี

ช่วงนี้ตลกดี กำลังตามหาความ Unique ของตัวเอง ด้วยการลองทำอย่างคนอื่น
เพราะไม่มั่นใจว่า สิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันดีพอหรือเปล่า

บทความที่ห้าสิบ

ขอต้อนรับน้องฮิปโปแมวส้มกลับมา กับรายการใหม่นะจ๊ะ ธรรมดา ธรรมดา กับ Hippo the cat ='w'=

จาก no rain on the moon


จาก no rain on the moon


จาก no rain on the moon


ถ้าอ่านไม่ออก แนะนำให้กดที่รูปภาพนะจ๊ะ
วันนี้เขียนด้วยดินสอ เพราะยังไม่ชินกับการเขียนภาษาไทยเยอะๆ
เดี๋ยวนี้ใช้พิมพ์เอาตลอด มือไม่ค่อยไปซะแล้ว
ขอบคุณที่แวะมานะ ยินดีรับข้อคิดเห็นจ๊ะ
อันนี้เป็นตัวทดลอง อยากรู้ว่าน่าสนใจ อ่านยากไป หรือไม่สนุก จะได้นำไปพัฒนาจ๊ะ :D
ขอบคุณนะ

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

You are what you......

หลายคนคงคุ้นชินกับคำว่า
You are what you eat
หรือ You are what you read
ฉันสงสัยว่า
มันจะจริงทั้งหมดเหรอ??

ฉันพบว่าคนบางคนตัวผอมเก้งก้าง
แต่รับประทานอย่างกับยัดทะนาน
ในขณะที่ฉันตัวอ้วนกระปุ๊กลุ๊ก
ก็ไม่ใช่ว่ากินน้อย
แต่ฉันเชื่อว่าฉันกินน้อยกว่าคนผอมบางคน
หลายคนก็บอกว่า
แหม ของอย่างนี้มันเกี่ยวกับพันธุกรรมด้วยไง

อ้าว.. แล้วไอ้ You are what you eat มันก็ไม่จริงแท้ร้อยเปอร์เซนต์สิ
ฉันเห็นบางคนรักษาสุขภาพแทบตาย
แต่ก็เจ็บกระเสาะกระแสะ
เราจะให้คำอธิบายแก่คนพวกนี้ได้ยังไง


ส่วน You are what you read นี่ฉันก็ไม่คิดว่าจริงนะ
เพราะฉันชอบอ่านนิยายสืบสวนหรือฆาตกรรมมาก
ฉันก็เคยคิดจะไปฆ่าหั่นศพใครสักที
อืม.. แต่บางทีอาการกำลังฟักตัวอยู่ก็ได้
แต่ฉันก็ชอบอ่านวรรณกรรมเยาวชนกับหนังสือภาพนะ
มันคงพิลึกถ้าฉันเป็นฆาตรกรหั่นศพที่ลัลลามองโลกในแง่ดี
ฉันคิดไปคิดมาก็พบว่า
เราคงไม่ได้เป็นทุกอย่างที่เราอ่านมั้ง


อาจเป็นเพราะเราเรียนเลขบวกลบคูณหารมากเกินไป
เรามักจะสรุปอะไรง่ายๆว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง
ถ้าเรารับเอาอะไรเข้าไป สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นผลิตผลของเรา
ลองดูต้นไม้สิ มันได้น้ำ ได้แสงแดด ได้แร่ธาตุจากดิน
แต่สิ่งที่ผลิตได้กลับเป็นกิ่ง ก้าน ใบ ดอก

แล้วสรุปว่า You are what you อะไรดีล่ะ??

ถ้าถามฉันนะ ฉันคิดว่า You are what you think, what you speak, and what you act!!!
คุณเป็นสิ่งที่คุณคิด คุณทำ คุณพูดไง
เหมือนต้นมะเขือออกดอกเป็นมะเขือ ต้นกุหลาบออกดอกกุหลาบ
ไม่ต้องสรรหาหรือพยายามตั้งคำถามหรอกว่า
ต้องรดน้ำยังไง ใส่ปุ๋ยยังไง เมล็ดถึงจะงอกออกมาเป็นต้นกุหลาบ
จุดสำคัญน่าจะอยู่ที่ว่า ถ้ารู้ตัวว่าเป็นต้นกุหลาบแล้ว จะเป็นต้นกุหลายที่ออกดอกได้ไหมต่างหาก

ชำระ

เมื่อเช้าตอนเข้าห้องน้ำก็เห็นกระดาษชำระ
เลยนั่งคิดว่า คำว่า ชำระ คงแปลว่า ทำให้สะอาด
อย่างเช่น ชำระล้างร่างกายและจิตใจ


แล้วแค้นนี้ต้องชำระล่ะ?


น่าแปลกที่หนังจีนกำลังภายใน
และละครไทยยุคหนึ่ง
จะมีภาพพระเอกต้องตามชำระแค้นเพื่อบิดาหรืออาจารย์
จนเป็นคำติดปากว่า
แค้นนี้ต้องชำระ
มันฆ่าพ่อฉัน ฉันจะฆ่าพ่อมันเพื่อให้หายแค้น
แต่ทำเช่นนั้นแล้ว ความแค้นจะสิ้นสุดลงจริงๆหรือ
เรามีความสุขเพราะสามารถทำให้คนอื่นเจ็บปวดเหมือนเราอย่างนั้นหรือ


การชำระแค้นก็เหมือนกับการพยายามสร้างแผลเป็นให้คนอื่น
ณ จุดเดียวกัน หรือ ใกล้เคียงกับแผลเป็นที่เรามี
แม้จะทำเช่นนั้นแล้ว แผลเป็นนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน
วิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาแผลเป็นคือ
ทายาและดูแลรักษามัน
วิธีการที่ดีที่สุดในการชำระแค้นคือการให้อภัย
เพราะการให้อภัยเป็นวิธีการเดียวที่เราจะสามารถ
เช็ดล้างทำความสะอาดความแค้นที่มีอยู่ในใจเราได้

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

อ๊อด อ๊อด

ลูกอ๊อดน้อยว่ายน้ำลอยคอไปมาในบึงเล็กๆ
มันหวังว่าเมื่อมันโตขึ้น
มันจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนได้
ลูกอ๊อดได้แต่จ้องมองท้องฟ้าสีฟ้า
และหมู่เมฆขาวที่ลอยล่อง
สักวันหนึ่งมันจะขึ้นไปสูดอากาศบนเมฆขาวเช่นดั่งนกบ้าง
วันเวลาผ่านไป หางของลูกอ๊อดค่อยๆหดสั้นลง
มันว่ายน้ำได้ยากขึ้น แต่มันก็มีขาหลังค่อยๆงอกขึ้นมา
อย่างที่ไม่ทันได้สังเกต
หางของลูกอ๊อดก็หายไปหมด
ตอนนี้มันได้แต่กระโดดไปมาบนบก
กบน้อยลืมไปหมดแล้วถึงความฝันยามเมื่อมันยังมีหางอยู่
ตอนนี้มันกลายเป็นเพียงกบธรรมดาๆ
ที่มองเห็นว่าเมฆบนท้องฟ้า
เป็นเพียงที่มาของน้ำฝน

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่ยากที่สุด

จริงๆฉันเป็นคนมีโครงการในหัวล้านแปด
เมื่อคิดได้ ฉันก็พยายามรีบลงมือทำ
เรื่องบางเรื่องอาจจะยากตอนที่จะเริ่ม
เพราะบ่อยครั้ง เรามักคิดว่าเราไม่มีความสามารถพอ
แต่พอเริ่มไปแล้ว มันก็ยังมีความยากลำดับถัดมา
บางทีอาจจะเป็นจุดที่ยากที่สุดเลยก็ได้
นั่นก็คือกาีรที่เราอดทนทำต่อไป
โดยที่ไม่เลิกล้มไปเฉยๆ
เพราะรู้สึกว่า ทำไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผล





บางครั้งการทำงานก็เหมือนการสร้างเมฆ
คงต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงาน
ในการรวมไอน้ำขึ้นมาเป็นเมฆก้อนใหญ่ๆจนมองเห็นได้
แต่พอเราแหงานหน้าขึ้นไปมองเมฆที่เราสร้างขึ้นมา
ลอยอยู่บนฟ้าสวยงาม เราก็จะอุทานในใจว่า
เห็นไหม ง่ายนิดเดียว!

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ชาร์จแบต

วันนี้ฉันได้นอนบนพื้นหญ้า
นอนสูดกลิ่นไอดิน
ฟังเสียงน้ำไหลจากลำธารเล็กๆ
มองดูหมู่เมฆเคลื่อนไหว
เห็นยอดไม้ไหวเอนตามลม

มีความสุขจัง!!!

อย่าลืมลองชาร์จแบตแบบฉันกันบ้างนะ

พูดคุยกับเป็ดกลางสายฝน

ในสวน มีนก Noisy Miner ทำรังอยู่บนปลายกิ่งไม้สูงจากพื้นประมาณสามสี่เมตร
เมื่อวันฝนพรำๆ ฉันเคยเห็นมันบินวนไปวนมาเฝ้าดูรัง
รังที่ปลายไม้นี้เล็กเกือบประมาณตัวเท่าพ่อหรือแม่นก
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่านกอีกตัวหายไปไหน
วันนี้ฉันก็เห็นนกตัวเดียวบินวนไปวนมาเฝ้ารัง
ไม่รู้ว่าเป็นตัวเดิมที่ตากฝนเกาะกิ่งไม้เตี้ยๆคอยเฝ้ารังหรือเปล่า
ฉันไม่เห็นลูกนกเพราะรังสูงมาก
ฉันเคยคิดว่าเกิดเป็นสัตว์ก็ดีนะ
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย
จนวันที่ฝนตกพรำๆ
ฉันเห็นเป็ดยังคงออกหาอาหาร
โดยไม่มีร่ม
นกบางตัวยังคงจิกหาหนอนกินใต้ร่มไม้

บางทีการพยายามมีชีวิตรอดของเราและของสัตว์คงไม่ต่างกัน
ไม่ว่าเราจะมีชีวิตแบบไหน เราก็ต้องดิ้นรนกันทั้งนั้น
ฉันมองเป็ดที่พูดภาษาคนไม่ได้ยืนตากฝน
และเป็ดก็มองมนุษย์ที่พูดภาษาเป็ดไม่ได้ยืนถือร่มและมองมันอยู่
ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่า การเป็นอะไรก็ไม่ได้สบายหรือลำบากไปกว่ากัน
แล้วฉันก็เดินกางร่มกลับบ้านเพื่อไปนอนพักบนเตียงนุ่มๆในห้องอุ่นๆอย่างสบายใจ

เสียง

ตอนเด็กๆ ฉันชอบส่งเสียงดัง
พอโตขึ้น ฉันชอบฟังเสียงไพเราะ
แต่สุดท้าย เสียงที่ฉันรักที่สุด คือ ความเงียบ

บางที

บางทีเวลาฉันเดินผ่านร้านอาหาร
เห็นผู้คนกำลังกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
ฉันก็รู้สึกอยากกินขึ้นมาทันที

บางทีเวลาฉันเดินผ่านร้านเสื้่อผ้า
เห็นเสื้อผ้าสวยๆลดราคา
ฉันก็รู้สึกอยากได้

บางทีเวลาฉันเห็นผู้คนประสบความสำเร็จ
ได้รับการยอมรับจากสังคม
ฉันก็รู้สึกอยากเป็นอย่างเขาบ้าง


บางที ฉันอาจจะไม่ได้กำลังรู้สึกหิว
และบางที ฉันก็มีเสื้อผ้าอยู่เยอะแยะแล้ว
และบางทีอีกนั่นแหล่ะ ที่ฉันอาจจะไม่ได้อยากเป็นสิ่งที่คนอื่นเป็น

เพราะบางที ฉันอาจจะโดนเหนี่ยวนำ
จนลืมไปว่า นาทีนี้ฉันกำลังยืนอยู่ที่ไหน
แล้วตอนนี้ฉันต้องการสิ่งใด
หรือเวลานี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่......

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ที่หายไป....

บางคนเราจะรู้ว่าเขาหายไป
ก็ต่อเมื่อเขาได้หวนกลับมา
แต่กับบางคน
แม้เรารู้ว่าเขาหายไปอย่างไม่กลับมา
เรากลับยังคงเฝ้ารออย่างไม่หายไปไหน


....................................................



ความพยายามอยู่ที่ไหน
ไม่จำเป็นว่าความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่น
คุณได้พิสูจน์ให้ผมเห็นอย่างชัดเจนแล้ว



....................................................


ฉันจะบอกสิ่งที่ฉันชอบทุกอย่างให้คุณฟัง
เพราะเวลาที่คุณเห็นมัน
คุณจะได้นึกถึงฉันเสมอเสมอ


...................................................


ฉันชอบร้องเพลงเบาๆ
ไม่ได้หวังให้ใครมาได้ยินหรอก
เพราะมันเป็นความสุขเล็กๆของฉัน
การแอบมองคุณอยู่ห่างๆก็เช่นกัน


..................................................


ความรักของเราสองคนก็เหมือนดอกไม้
ในวันที่ดอกไม้นั้นแห้งเหี่ยว
คงเหลือแต่ฉันที่ค่อยๆหยิบมันขึ้นมา
ทับไว้ในหนังสือ
แล้วปล่อยมันทิ้งไว้ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ
โดยมีแต่ฉันผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่ามันยังอยู่


...............................................


การมอบรอยยิ้มก็เหมือนกับการมอบความรัก
เราไม่รู้ว่าหรอกว่าเราจะได้กลับคืนมาหรือเปล่า
แต่เราก็มีความสุขทุกครั้งขณะที่มอบมันให้กับใครสักคน




ขอยิ้มให้คุณสักหนึ่งทีนะ ;D

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

วันหนึ่ง....

วันหนึ่ง.... เมื่อคุณเดินทางไปไกลสุดฟ้า
คุณจะพบว่าสถานที่วิเศษที่สุดคือบ้านของคุณเอง


วันหนึ่ง.... เมื่อคุณได้ทำงานเพื่อหาเงินอย่างไม่รู้จากเหน็ดเหนื่อย
คุณก็จะพบว่าคุณไม่รู้จะเอาเงินส่วนนั้นไปทำอะไร


วันหนึ่ง... เมื่อคุณผ่านชีวิตที่เร่งรีบวุ่นวายสับสน
คุณก็จะพบว่าชีวิตที่ดีที่สุดคือชีวิตที่เชื่องช้า


วันหนึ่ง... เมื่อคุณได้พูดคุยพบปะผู้คนมากมายหลายร้อยหลายพัน
คุณก็จะพบว่าคนที่คุณจะคุยด้วยได้จริงๆมีอยู่หยิบมือเดียว


วันหนึ่ง.... เมื่อคุณแสวงหาทุกอย่างที่คุณเคยต้องการมาหมดแล้ว
คุณก็จะพบว่าสิ่งที่คุณแสวงหามาทั้งชีวิตไม่มีคุณค่าใดใดเลย
และสิ่งที่คุณละทิ้งมันไปเพื่อออกแสวงหาสิ่งที่คุณต้องการนั้น
นั่นแหล่ะคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคุณ



แล้ววันนี้........ ฉันฝันที่จะได้กลับบ้าน ไปใช้ชีวิตที่เชื่องช้า กับผู้คนเพียงหยิบมือ

คำขอโทษ

อันนี้ออกจะเป็นเรื่องส่วนตัวหน่อยนึงนะ :D
เราก็พ่นๆเรื่องของตัวเองนี่แหล่ะ 555++
ยาวแล้วก็ซ้ำซ้อนกับที่เคยเขียนในสเปซนะ


เมื่อกี้เพิ่งโทรหาแม่เรามา
แม่ร้องไห้หนักเลยล่ะ
แม่บอกว่า เมื่อวานก็ร้องไห้
บ่นเสียใจกับสิ่งที่เคยทำกับเราไว้
แม่บอกว่า แม่เลี้ยงเราไม่ดี
ตอนม.ปลาย เราต้องหิ้วขนมไปขายที่รร.
บางวันไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ
บางทีต้องซื้อข้าวทีละสองสามโล
เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อข้าวเป็นถุงๆ
ตอนเย็นกลับมาบ้าน เราก็จะมาช่วยแม่ขูดมะพร้าว (เป็นมะหมี่เชียว)
แล้วก็วางกล่องวุ้นเพื่อให้แม่เอาวุ้นมาหยอด
บางวันทำถั่วแปปขนมต้ม
ก็ช่วยขูดมะพร้าวฝอยๆ
แล้วก็ใส่กล่องเอาไปขายให้ครูกับเพื่อนที่โรงเรียน
บางทีเราหิ้วมาแต่เช้าบ้าง
แต่ถ้าเป็นขนมต้มกับถั่วแปปแม่ก็จะเอามาให้ตอนพักกลางวัน
พูดๆไป มันมีคนที่ชีวิตลำบากกว่าเราเยอะ
แต่ตอนเด็กๆ ฐานะทางบ้านเราก็ไม่ได้เดือดร้อน
แม่ก็ทำงานส่งให้เรามีกินมีใช้
ไม่ต้องถึงขั้นไม่มีจะกิน
เราเคารพแม่ในจุดนี้มาก
ผู้หญิงคนเดียวที่เสียสามีไปตอนสามสิบห้า
เรียนจบแค่ชั้นประถมสี่
เลี้ยงลูกสองคน คนนึงตอนนั้นอายุสิบสาม(คือพี่ชายเราที่ตอนนั้นอยู่กับป้า)
แล้วก็เรา อายุสามขวบครึ่ง
แม่เลี้ยงเรามา เรียกได้ว่าอิ่มหนำ
อยากกินอะไรก็ได้กินนะ
จนมาช่วงม.ปลายแหล่ะ ที่มีปัญหา
แม่ร้องไห้ทุกวัน
เราก็ร้องไห้นะ
ตอนนั้นแม่ไม่รู้ว่าชีวิตจะทำยังไงต่อไปดี
เราก็บอกแม่ว่าชีวิตก็เหมือนกับกลอนที่เราเคยอ่านเจอ
เดี๋ยวพอผ่านกลางคืนไป ฟ้าก็สาง
เดี๋ยวชีวิตผ่านเรื่องแย่ๆ
มันก็จะค่อยๆดีขึ้นมา

จริงๆเราพยายามตั้งใจเรียนช่วงม.ปลายนะ
เพราะพอเราอ่านหนังสือเรียน เราก็จะลืมเรื่องต่างๆ
ตอนนั้นไม่ได้คิดมาก หรือรู้สึกแย่
อยู่รร.ก็รับจ๊อบเพื่อนวาดรูปและทำชีทงานภาษาอังกฤษส่ง
ก็มีรายได้ เราขยันแล้วเราก็ได้ตัง ถือว่าวิน วิน 555++
ที่มาหนักจริงๆก็ช่วงอยู่มหาลัยมั้ง
ตอนนั้นได้ทุนจากรัฐเดือนละสี่พัน
ต้องอาศัยอยู่ในกรุงเทพ
ค่าหอก็เกือบสองพันแล้ว
ตอนนั้นเหลือกินอาทิตย์ละพันกว่าบาท
เคยมีครั้งนึง เหลืออยู่ห้าร้อย ต้องกินไปถึงสิ้นเดือน
ตอนนั้นยังกลางๆเดือนอยู่เลย
นั่งร้องไห้บ่อยมากช่วงนั้น ไม่รู้จะทำยังไง
แม่ไม่มีเงินแน่ๆ พี่ชายเราก็ไม่มี
เราก็ไม่กล้ายืมเพื่อน เพราะดูจากรูปการณ์เราก็ไม่มีปัญญาหาเงินมาคืนพวกมัน
ใช้ชีวิตอย่างนั้นอยู่สา่มสี่เดือน ก่อนที่เพิ่อนจะบอกให้ไปหาพี่ที่สอนพิเศษ
ให้เค้าหาเด็กมาให้สอน
ตอนนั้นถึงลืมตาอ้าปากได้
เราบอกว่า รับสอนเกือบทุกวิชาเลย ยกเว้นเลขกับฟิสิกส์ม.ปลาย
เคมี ชีวะ ภาษาอังกฤษ หนูสอนได้หมดเลยค่ะพี่
ตอนนั้นไม่เลือกอะไรทั้งนั้น บางทีไปลองสอนน้องครั้งแรกๆ
เรานั่งรถไปสอนไกลมาก รถติด บางวันฝนตก
ไปสอนแล้ว เค้าก็ไม่เอา ก็ไปฟรีๆ
หลงทางบ้าง นั่งรถมอไซค์รับจ้างเข้าซอยลึกๆเปลี่ยวๆบ้าง
เราก็ต้องไป เพราะเราไม่มีกินไง
มีเพื่อนบอกเราว่า ทำไมเราเป็นคนคิดมาก ทำไมถึงวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา
เราก็อยากจะบอกว่า ชีวิตนี้ เรายึดถือใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเราเองจริงๆ
มีอยู่ครั้งนึงช่วงที่ไม่มีกิน ไม่มีจะกินจริงๆ
ตอนนั่งรถเมล์ไปมหาลัย นั่งร้องไห้
นั่งคิดว่า กูจะทำไงกับชีวิตดีเนี่ย
พอถึงสี่แยกตึกชัย ก็หันไปเห็นเด็กขายพวงมาลัย
แล้วก็คิดได้ว่า เฮ้ย ชีวิตกรูดีกว่าเขาเยอะเลย
ดูสิ ได้ใส่ชุดนักศึกษา ได้เรียน ชีวิตเราไม่แย่เลย
เป็นคนโชคดีมากๆ ไม่เคยต้องลำบากยืนตากแดดตากควันร้อนๆ ขายพวงมาลัย
ตอนนั้นเราถึงตั้งหน้าตั้งตาลุกขึ้นสู้
ออกทำมาหากิน ออกสอนพิเศษ ไม่ใช่เพราะอยากร่ำรวย
แต่เพราะต้องหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง
โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม บางครั้งเด็กมาเรียนกันเยอะ ก็มีตัง
บางทีเด็กขอหยุดช่วงปิดเทอม ก็ต้องคิดแล้วว่า เดือนนี้จะเหลือเงินกินอยู่เท่าไหร่
เพราะฉะนั้นสายตาที่เรามองโลก มองเงิน มันต่างกันกับหลายๆคน

ที่เล่ามายืดยาวก็ต้องถึงเวลาวกกลับเข้าประเด็น
วันนี้แม่ร้องไห้
แม่บอกว่า แม่เสียใจเหลือเกินที่เลี้ยงลูกมาไม่ดี
เพราะความผิดพลาดที่แม่ทำช่วงเราอยู่ม.ปลาย
และการทำหลายๆอย่าง ที่แม่โทษตัวเองว่าแม่ผิด
แม่บอกว่าเรา แม่ขอโทษ
แม่บอกว่า แม่ไม่เคยเอ่ยปากขอโทษใครเลยสักครั้งในชีวิต
แม่บอกว่า แม่ขอโทษเรา
เสียงแม่เครือมาก แม่ร้องไห้เยอะมาก
เราก็น้ำตาไหล
เราบอกแม่ว่า แม่ฟังหนูนะ หนูไม่โกรธแม่
หนูยกโทษให้แม่ตั้งแต่วันที่แม่เคยคุยกับหนูช่วงที่หนูใกล้จบ
แม่บอกว่า บางอย่างที่แม่ทำไป เพราะแม่ไม่รู้จริงๆ
เมื่อก่อนหนูก็คิดนะ ทำไมแม่เราเป็นอย่างนี้วะ
แต่พอแม่พูดวันนั้น หนูก็คิดว่า แม่ทำดีที่สุดแล้ว
หนูให้อภัยแม่แล้วในวันนั้นจริงๆ
แม้ว่าแม่จะไม่ให้อภัยตัวเองมาจนถึงวันนี้ก็ตาม

วันนี้แม่ขอโทษเรา เราก็ขอโทษแม่
ที่บางครั้งเราอาจจะพูดจาไม่ดีกับแม่
เราให้อภัยตัวเองกับเรื่องที่ผ่านมา
และหวังว่าแม่จะให้อภัยตัวของแม่เองเช่นกัน


การลงโทษที่รุนแรงที่สุดก็คือการที่เราลงโทษตัวเอง
แล้วคิดว่าที่ผ่านมา เราผิด เราไม่น่าให้อภัย

ตัวเราเองก็พยายามฟังธรรมะ
แล้วมานั่งอธิบายให้แม่ฟัง
แม่ไม่เคยฟังธรรมะ เพราะวันๆแม่ต้องออกไปหาเงิน
เรื่องบางเรื่องที่อธิบายให้แม่ฟัง
พอผ่านไปอีกสองสามอาทิตย์
แม่ก็มาเล่าว่า ที่ฟังไป มันทำให้คิดได้นะ
เราก็ดีใจ เพราะแม่มีประสบการณ์ในชีวิตมาแล้ว
แค่บอกเล่านิดหน่อย ชี้นิดเดียว แม่ก็เห็น
แม่บอกว่า เมือวานตอนกลางคืน แม่นั่งร้องไห้เสียใจ
กับสิ่งที่ผ่านมา กับสิ่งที่ทำไว้กับเรา
หวังว่าคืนนี้ พอแม่เอ่ยทำว่าขอโทษกับเราแล้ว
แม่จะหันมาให้อภัยตัวเอง
แล้วลืมเรื่องราวที่ผ่านมา เหมือนที่เราให้อภัยแม่
แล้วเราก็ปลดความรู้สึกแย่ๆออกไปจากชีวิตเราได้


ที่เล่าเรียงเรื่องราวมาอย่างยาว(มาก)
ก็อยากจะให้เห็นว่า
บางทีการที่เราพูดและบอกเล่าความรู้สึกของเราอย่างตรงไปตรงมา
มันก็สำคัญและจำเป็นต่อการเยียวยาตัวเองและผู้อื่น
โดยเฉพาะคนใกล้ตัวของเรา ที่เรามักให้ความสำคัญในอันดับหลังๆ
เพราะมัวแต่คิดว่า จะทำเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
หรือรู้สึกกระดากเกินไปที่จะพูดออกมา

ถ้าตอนนี้มีอะไรค้างคาใจอยู่กับใคร
เดินไปบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อเขาเสีย
เพราะหากวันนึงเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ความรู้สึกผิดอาจจะถูกจองจำในหัวใจของเราตลอดไป
เพราะกุญแจที่จะไขเอาความรู้สึกผิดนี้ออกมา
ได้สลายหายไปพร้อมๆกับเขาคนนั้นเสียแล้ว

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ความหวัง

ความหวังเปรียบเหมือนแสงไฟ
พอเราหวังมากไป ไฟก็ขยายใหญ่
มอดไหม้ใจเราไปหมด

ความหวังไม่ใช่ความจริง
แต่ความหวังก็มีส่วนที่ทำให้เกิดเรื่องจริงได้
แม้ในหลายๆครั้งเราจะทำได้แค่หวังลมๆแล้งๆ

วิญญาณ

ตลกดีนะที่ฉันมักจะฟังแต่เพลงเก่าๆซ้ำๆอย่างไม่เบื่อ
หยิบโปสการ์ดเก่าๆที่เธอเคยเขียนให้ฉันมาอ่านเรื่อยๆ
คิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยคุยกัน ยิ้มให้กัน หัวเราะด้วยกัน
ทุกครั้งที่อ่านข้อความของเธอ มันเหมือนกับว่า
ฉันยังคงอยู่ในช่วงเวลานั้น แล้วเธอก็ยังอยู่ที่นั่น
ทั้งทั้งที่จริงๆแล้ว ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ที่ไหน
ยังอยู่บนโลกนี้ หรือว่าลาจากมันไปแล้ว

บางคนบอกว่า วิญญาณคือสิ่งที่ออกจากร่างเมื่อเราตายไปแล้ว
แต่ฉันคิดว่า วิญญาณคือความทรงจำ
ถ้อยคำที่เธอเขียนให้ฉันมันมีวิญญาณของเธออยู่
มันมีเศษเสี้ยวความทรงจำของเธอ
ที่เมื่อฉันนำมันกลับมาอ่านอีกเมื่อไหร่
ฉันก็รู้สึกว่ามีเธออยู่ด้วยเสมอ
แม้ในความคิดของฉันเพียงคนเดียวก็ตาม
บางทีการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของเธอในปัจจุบัน
อาจจะไม่จำเป็นสำหรับฉันเท่ากับความทรงจำของเธอก็ได้

แอบรัก

"ถ้าเธอแอบรักใครซักคน เธอจะบอกเค้าคนนั้นไหม" เธอถามผมวันหนึ่งขณะที่เรานั่งกันอยู่ริมน้ำ
"เราไม่บอกหรอก เพราะถ้าเราบอก จะเรียกว่าแอบรักได้ไง"ผมตอบ
เธอหัวเราะชอบใจ "นั่นสินะ... เราก็ไม่บอกเหมือนกันนะ"
"ทำไมล่ะ"ผมถาม
เธอหันมายิ้มให้ผมก่อนจะพูดว่า "ก็เรามีความสุขดีอยู่แล้วนี่ เราเป็นคนพอเพียงน่ะ"

ผมเคยสงสัยว่า ถ้าเธอแอบชอบผมเหมือนกันกับที่ผมแอบชอบเธอ
เราทั้งสองคนจะลงเอยยังไง
เราจะรักกันจนได้แต่งงานกันแล้วอยู่ด้วยกันตลอดไป
หรือว่าวันหนึ่ง เราจะเลิกกัน และไม่สามารถมองหน้ากันได้อย่างเดิมอีก


ผมคิดว่าการที่พระจันทร์ห่างจากโลกเท่าเดิมก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
เพราะแม้ว่าผมจะสัมผัสมันไม่ได้
แต่ผมก็แน่ใจได้ว่ามันจะยังคงโคจรรอบโลกอย่างไม่หายไปไหน

ป่วย

ป่วยกายไม่เท่ากับป่วยใจ
แต่ป่วยอะไรก็ไม่เท่ากูป่วย
เพราะถ้า"กู"ไม่มี
การป่วยก็เป็นแค่ความผิดปกติของชีววัตถุเท่านั้น


-------------------------------------------------
ตื่นมากลางดึก คิดว่าจะมานั่งพิมพ์งานเงียบๆ
แต่ก็คลื่นไส้อาเจียนไปสองรอบ
ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้กินข้าวเย็นติดกันมาหลายวัน
หรืออาหารเป็นพิษ (ไม่น่าใช่ เพราะอุ่นอาหารของเมื่อเช้า ตอนเช้ายังปกติอยู่)
หรือเครียดติดพัน เพราะช่วงที่พิมพ์ research proposal เมื่อต้นปี
ก็คลื่นไส้อาเจียนอาหารไม่ย่อยเป็นเดือนๆ

วันนี้นั่งอาเจียนเสร็จก็บ่น กูจะตาย
แล้วก็ เอ๊ะ... วันนี้เพิ่งฟังเทศน์ไป ว่ากูไม่มี ของกูไม่มีนี่นะ
ร่างกายเจ็บป่วยได้ แต่ไม่ต้องเอาใจไปรับมัน
มองมันเหมือนมองอาการป่วยทั่วๆไป
ไม่ได้มองว่าเป็นอาการป่วย"ของกู"

งานวิจัยที่ทำอยู่ก็ไม่ใช่ งานของกู
เพราะอีกร้อยปี ไม่มีกู ไม่มีอะไรทั้งนั้น
มีแค่ความรู้ที่เหลือไว้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
ทำไปเพื่อหน้าที่ ไม่ต้องทำเพื่อดี เด่น ดัง
ร่ำรวยเงินทอง หรือ โด่งดังมีชื่อเสียง

ถ้าจะบอกว่า เครียดเรื่องงาน ก็เพราะยึดติด
คิดว่า กูไม่จบแน่ กูโง่ กูตายแน่!
ความกดดันมันเยอะ แล้วก็ กูเนี่ยแหล่ะกดดันตัวกูเองล้วนๆ
ช่วงม.ปลายกับมหาลัยไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน
คงเพราะไม่เคยคิดว่า ถ้าฉันเรียนไม่จบ จะต้องอย่างนั้น อย่างนี้แน่เลย
ตอนนี้พยายามสลัดไปทีละอย่าง เหมือนค่อยๆปลิดกลีบดอกไม้
พยายามออกมาจากสังคม อยู่ตัวคนเดียว พยายามมองอะไรให้ชัดขึ้น

การเขียนบันทึกมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ
เวลาเราเขียน เราจะคิดเรื่องเดียว ไปที่จุดๆเดียว
ก็จะทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆในหัวได้ดีขึ้น

ปล.รู้สึกว่าอยู่ต่างประเทศแล้วจิตตกบ่อยจริงๆนะ ไม่รู้ว่าทำไม 555++

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ล้างจานเพื่อ....

หลังจากที่เพื่อนเรายังไม่เกทเรื่องล้างจานเพื่อล้างจาน
ส่วนตัวเรา ก็ใช่ว่าจะเข้าใจร้อยเปอร์เซนต์
คล้ายๆกับพอเข้าใจทางทฤษฏี
แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติได้ร้อยเปอร์เซนต์
แต่จะขออธิบายว่าทำไมเราต้อง
"ล้างจานเพื่อล้างจาน"

จาก no rain on the moon


ล้างจานเพื่อให้สะอาด ต่างกับล้างจานเพื่อล้างจานตรงสติ
นั่นคือ ล้างจานเพื่อล้างจานนั้น เราทำความสะอาดจานให้สะอาดเหมือนกันนี่ล่ะ
แต่ต่างกันตรงที่ ล้างจานเพื่อล้างจาน เราจะมุ่งความสนใจร้อยเปอร์เซนต์ไปที่จาน
ส่วนล้างจานเพื่อให้สะอาดนั้น ระหว่างล้าง เราไม่จำเป็นต้องสนใจในจานร้อยเปอร์เซนต์
แต่เราจะทำยังไงก็ได้ ให้จานสะอาด

แล้วทำไมล้างจานเพื่อล้างจานถึงดีกว่าล้างจานเพื่อให้จานสะอาด

เมื่อมองผลลัพธ์ทางกายภาพแล้ว จานก็สะอาดเหมือนกัน
แต่ตัวผู้ล้างนั้นต่าง
ถ้าเราล้างจานเพื่อล้างจาน เราก็จะมีสติกำกับตลอดเวลา
เราก็จะไม่มีการลืมล้างหม้อที่วางไว้อีกที่นึงหรือหงุดหงิดขณะล้าง
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆ แต่ลองสังเกตดูว่าปัญหาเหล่านี้มันขยายไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ

จาก no rain on the moon


เพราะถ้าเราไม่มีสติควบคุมตัวเอง
-เราจะขี้หลงขี้ลืม
- ทำสิ่งต่างๆผิดพลาด
-ไม่มีความสุขขณะที่ทำ เพราะมัวแต่ไปคิดเรื่องอื่น แล้วนั่งคิดว่า เมื่อไหร่งานตรงหน้าจะเสร็จเสียที




ตัวอย่างนี้จะประยุกต์ได้ดีกับนักเรียน นักศึกษา
อย่างเวลาฉันอ่านหนังสือ ก็จะเปิดเพลง เปิดคอมไปด้วย
จิตใจที่อยู่กับหนังสือก็ไม่ร้อยเปอร์เซนต์
อ่านแล้วก็ไม่รู้เรื่อง บางทีกลับมาอ่านใหม่อีกทีก็จำไม่ได้ทั้งหมด
แต่ถ้าเราอ่านด้วยสติ คือ สติอยู่กับตัวหนังสือร้อยเปอร์เซนต์
เราก็จะสามารถเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น
นอกจากนั้น การมีสมาธิ จะทำให้เราสมองแจ่มใส
แล้วเข้าใจในตัวบทเรียนได้ดีกว่าปกติ



ดังนั้นการล้างจานเพื่อล้างจาน ก็เหมือนการเจริญสติตลอดเวลา
เหมือนกับการนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม



นั่นก็คือ ตอนนั้นสติอยู่กับเราร้อยเปอร์เซนต์

ทำให้เราสามารถควบคุมตนเองได้ในทุกอิริยาบท
สังเกตว่า เวลาที่ปฏิบัติธรรม เขาจะให้เราเดินช้าๆ เพราะว่า เราจะต้องมีสติตลอดเวลา
เหมือนหัดเดินใหม่ ให้มีสติกับทุกก้าวที่เดิน

ลองดูในชีวิตประจำวันของเราสิ เรารีบจนไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
บางทีเราจะไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อกลางวันเรากินอะไรไป
หรือวันนี้ได้ไปพบกับใครมา

เรื่องการมีสติ ก็เกี่ยวเนื่องกับเรื่องศีล
การที่เราทำศีลขาด ส่วนใหญ่เพราะเผลอทำสติหลุด
ถ้าเรารู้ตัวตลอดเวลา เราจะไม่เผลอหยิบอาหารกินหลังเที่ยง
ไม่เผลอโกหก ไม่เผลอพูดจาส่อเสียดไปตามอารมณ์สนุก
ไม่เผลอทำร้ายคนหรือสัตว์ตามอารมณ์โกรธ
การที่เราทำศีลขาด ก็มาจากการที่เราลืมตัวทั้งนั้น
ดังนั้นสติจึงเป็นตัวควบคุมศีลอย่างหนึ่ง

จะเห็นว่าการเจริญสติ หรือ มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลาเป็นเรื่องดี
นอกจากนั้น มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งบอกว่า
การนั่งสมาธินั้นช่วยในด้านประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้
(ลองไปหาอ่านในหนังสือของคุณหนูดีดูนะ)
ทำให้เราไม่หลงลืม ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

จริงๆแล้ว หากลองฝึกดู ก็จะเห็นผลด้วยตนเอง
มากกว่าที่จะเขียนข้อดีทั้งหมดลงไป
ให้ดูเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ



ส่วนตัวเราเอง ขออธิบายว่า ที่สนใจในธรรมะช่วงนี้เป็นพิเศษ
เพราะมีปัญหา จิตใจไม่สงบ
เนื่องมาจากการพยายามทำหลายๆอย่างในเวลาเดียวมากเกินไป
เพราะคิด "อยาก" ทำสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้
ความอยากนี้มันกัดเราอยู่
ทำให้เราเครียด จะเป็นโรคประสาทเอาได้
นั่งฟังเทศน์ท่านพุทธทาส ท่านบอกว่า
"ดูคนสิ กินยาแก้โรคประสาท กินกันทั้งโลกวันๆนึงไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนเม็ด
แล้วดูแมว แมวมันเคยเป็นโรคประสาทปวดหัวเหมือนคนที่ไหน
เราเนี่ยต้องอายแมว แมวมันไม่เคยปวดหัวจนต้องกินยาสักเม็ดครึ่งเม็ด"
ตอนนี้เลยต้องฝึกสติมากๆ ไม่ใช่ว่าเราวิเศษอะไร แต่เพราะเรามีปัญหา แล้วก็เห็นมัน
พยายามมีความสุข และยิ้มให้กับปัจจุบันขณะได้

หวังว่าคงจะช่วยทำให้คำว่า ล้างจานเพื่อล้างจาน กระจ่างขึ้น

เปลี่ยนแปลง

เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเพิ่งลงรูปมหาวิทยาลัยที่เราจบมา
ตอนนี้มีการสร้างตึกใหม่ ทุบตึกเก่า เปลี่ยนรูปแบบ ปลูกต้นไม้ใหม่
จนพวกเราหลายๆคน จำแทบไม่ได้ว่าเคยพักอาศัยอยู่ที่แห่งนั้น
เพื่อนฉันหลายคนแสดงความคิดเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
ส่วนตัวฉันเอง ไปเห็นสถานที่มาเมื่อปีที่แล้ว ยอมรับว่าโหวงๆ
คล้ายๆกับว่า สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เหมือนกับในความทรงจำของฉันอีกแล้ว
แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
ถ้าเรายอมรับมันไม่ได้ เราก็มีแต่เสียใจ กับ เจ็บปวด

เพื่อนที่ฉันไม่ได้เจอกันหลายปี
วันหนึ่งมาเจอกัน กินข้าวกลางวันกัน
ก่อนจากกัน เพื่อนฉันบอกว่า
แกเปลี่ยนไปนะ
ฉันอึ้ง พูดอะไรไม่ถูก
จนฉันมาคิดได้ว่า
เพื่อนฉันคงรู้สึกเศร้าใจ
เหมือนที่เวลาเราเห็นตึกที่เรารู้จัก
ถูกสร้างหรือเปลี่ยนแปลงใหม่
แต่ฉันคิดว่ามนุษย์นั้นก็เหมือนต้นไม้
ต้องมีวันโต วันเปลี่ยนแปลง แล้วก็วันที่ตายลง
ฉันยอมรับว่าตอนนั้นสับสน
ความเศร้าของเพื่อนมันบอกได้ทางน้ำเสียง
แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ
ฉันคงไม่อาจเป็นเหมือนเดิมเหมือนเมื่อสี่ห้าปีก่อน
เป็นคนเดิมเหมือนคนในความทรงจำของเพื่อนฉันได้แล้วล่ะ


บางทีความทรงจำอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ได้
ภาพของตึกเรียนที่ฉันคุ้นเคย ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนตัวตึกที่ตั้งอยู่
ภาพรอยยิ้มของเพื่อน ภาพความทรงจำในอดีต
เหล่านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
แต่ฉันกลับรู้สึกว่า มันค่อยๆเลือนลางไปเรื่อยๆ
คล้ายๆรูปภาพในอัลบัมที่นานวันไปค่อยๆจางลง

ในที่สุดสิ่งที่เรารู้จัก ความทรงจำของเรา หรือแม้แต่ตัวเราก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง เลือนหาย
เป็นรูปที่แจ่มชัดในตอนแรก แล้วค่อยๆเลือนลางลง ในที่สุดก็เหลือเพียงกระดาษที่ว่างเปล่า

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

จุดต่อจุดคือเส้น

เคยเดินไปอย่างไม่มีจุดหมายไหม
ฉันเคยนะ ตอนที่อยู่ในกรุงเทพ
รถสายไหนมาก็ขึ้น อยากลงตรงไหนก็ลง
มันออกจะเป็นการเดินทางของคนประหลาดพอควร
ฉันจึงมักเลือกเดินทางอย่างนี้เพียงลำพัง
เพราะการเดินทางของคนส่วนใหญ่คือจุดหมายปลายทาง
แต่จุดหมายปลายทางของฉันคือการเดินทาง

ฉันนั่งคิดว่าเส้นทางกับจุดหมายนั้นต่างกันที่ตรงไหน
มันคงต่างกันที่จุดหมายคือสิ่งที่เราตั้งใจที่จะไป
ส่วนเส้นทางก็เป็นเพียงทางผ่านไปยังจุดหมาย
แต่เมื่อฉันผ่านจุดหมายในชีวิตหลายๆอย่างเข้า
ฉันกลับพบว่าจุดหมายก็คือเส้นทางอย่างหนึ่ง
มันเป็นเพียงทางผ่านจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
พอผ่านมันมากเข้า มากเข้า
สิ่งที่เีราเรียกว่าจุดหมาย อาจจะไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิต

ตอนฉันเรียนม.ปลาย จุดหมายของฉันตอนนั้นคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แต่จุดหมายนี้ ก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้ายสำหรับฉัน
ฉันยังต้องเรียนอย่างหนักในมหาวิทยาลัย เพื่อจบตามเป้าหมายที่วาดไว้
แต่มันก็ยังไม่สุดท้ายอยู่ดี มันเป็นเพียงการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง
แล้วจุดหมายก็กลายเป็นทางผ่าน

ดังนั้นตอนนี้ การไปถึงจุดหมายปลายทางกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญในชีวิตฉัน
เพราะทุกก้าวที่เท้าฉันข้ามผ่าน มันก็มีความเป็นจุดหมายปลายทางในตัวของมันเอง
มีความสำคัญในตัวของมันเอง เหมือนขั้นบันไดที่เราต้องเดินไต่ขึ้นไป ทีละขั้น ทีละขั้น

เพราะชีวิตคือการเดินทาง
เราไม่อาจหยุดเดินบนเส้นทางของกาลเวลาได้
วันที่เราถึงปลายทางของชีวิตนี้ก็คืิอวันที่ลมหายใจของเราบนโลกนี้หมดลง

ย่ำไปบนดวงดาว



















นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ยืนมองท้องฟ้ากว้างๆ
ที่ปราศจากการบดบังของยอดตึก
นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้หยุดดูดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
มองเห็นผึ้งกำลังสะสมน้ำหวาน
มองดูนกจิกกินเมล็ดพืช
แล้วยิ้มให้กับสายลมบางเบาที่พัดมากระทบใบหน้า

ฉันไม่รู้หรอกว่าการย่ำเท้าบนดวงจันทร์จะให้ความรู้สึกเช่นไร
แต่แค่ย่ำเท้าไปบนพื้นโลก ดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติ
มันก็รื่นรมย์เพียงพอสำหรับฉันแล้ว

วันที่นกไม่บิน

วันนี้ฝนตกทั้งวันตั้งแต่เช้า
ฝนตกแทบจะตลอดเวลา
ไม่มีเสียงนกสักตัวให้ได้ยิน
พวกมันคงรู้ว่าวันนี้ออกบินไม่ได้


อาจจะมีบางเวลาที่เราเองไม่สามารถออกบินได้
อย่าหงุดหงิดไปเลย จงรื่นรมย์กับเสียงของฝนเถอะ


วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ศีลขาด

เมื่อวานทำศีลขาดไปหนึ่งข้อ คือเผลอร้องเพลง
แล้วก็เลยฟังเพลงเลย T^T
แต่ข้อสำคัญคืองดอาหารหลังเที่ยง ยังคงถือได้อยู่
ที่มันสำคัญสำหรับเรา เพราะว่า เราเป็นพวกบริโภคเพราะอยาก
ดื่มน้ำผลไม้กับน้ำชา ก็อยู่ได้ แต่กลางดึกท้องร้องเสียงดังมาก 555++
เมื่อวานแทบไม่ได้พูดกับใครเลย
อาจจะเจอคนที่แลบแล้วเซย์ไฮ
แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นพิเศษ
ซึ่งรู้สึกได้พักผ่อนมาก
แล้วก็ทำให้เราไม่จำเป็นต้องพูดปดหรือเพ้อเจ้อด้วย
สภาพจิตใจก็โอเค ไม่รู้สึกหิวเหมือนตอนที่ถือครั้งแรก
ตอนนั้นคิดถึงแต่เรื่องอาหาร
คราวนี้ไม่ได้คิดถึงอาหาร นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ
ก็โอเคดีอยู่ ไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนเมื่อเช้ากินข้าว รสข้าวมันไม่เหมือนเดิม
แบบว่ารู้สึกว่ากินกันตายขึ้น
ไม่ได้รู้สึกว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อยเป็นพิเศษ
แต่คาดว่าความรู้สึกนี้จะค่อย fade ไป

อยาก

อย่ามัวแต่แค่อยาก......



แต่จงลงมือทำซะ !!!

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

แอปเปิลของนิวตัน

ก่อนที่นิวตันจะค้นพบทฤษฏีแรงโน้มถ่วงของโลก
คงเคยมีคนนั่งใต้ต้นแอปเปิล
แล้วเห็นลูกแอปเปิลหล่นมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
แต่นิวตันกลับเป็นคนเดียวที่มองเห็นทฤษฏีในลูกแอปเปิลนั้น

วันหนึ่งฉันนั่งคุยกับเพื่อน
แล้วเพื่อนก็ขอตัวไปล้างจาน
ฉันเลยแซวว่า
ล้างจานเพื่อล้างจานนะ
เพื่อนตอบกลับมาว่า
เราล้างจานเพื่อให้จานสะอาดน่ะ
ฉันเลยบอกเพื่อนว่า ไม่เกทมุกเลย
ฉันกำลังพูดถึงหนังสือปาฏิหารย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ
เพื่อนฉันบอกว่า อื้ม รู้ว่าพูดถึงอะไร
เคยอ่านแล้ว แต่ไม่เกท
คำว่า ล้างจานเพื่อล้างจาน จึงกลายเป็นแค่สิ่งธรรมดาสำหรับเพื่อนของฉัน


มันอาจจะมีเรื่องราวดีดีมากมายนับร้อยพันที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา
แต่เราก็ไม่อาจหยิบฉวยหรือทำความเข้าใจกับมันได้ทั้งหมด
บางคนไพล่ไปบอกว่า ไม่เห็นว่าเรื่องคนที่ว่าดีนั้น ดีตรงไหน
ฉันคิดว่า คนพวกนี้อาจจะใจแคบนิดหน่อย
มันมีเรื่องราวหลายอย่างที่เดิมทีเราไม่เข้าใจ
แต่ความรู้และประสบการณ์ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต
อาจจะค่อยๆเผยความมหัศจรรย์ในสิ่งธรรมดาทีละน้อย ทีละน้อย

เหมือนนิวตันที่ค้นพบทฤษฏีที่อธิบายแรงโน้มถ่วงของโลก
ด้วยเสียงของแอปเปิลตกลูกเดียวเท่านั้น


พรุ่งนี้วันพระ

พรุ่งนี้วันพระ เลยจะถือศีลแปด

เราไม่ได้เคร่งอะไรหรอก

เพียงแต่คิดว่าช่วงนี้จิตใจมันขึ้นๆลงๆ

ศีลก็เป็นตัวช่วยให้เรามีชีวิตที่เป็นปกติ

อีกอย่างรู้สึกอยากไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์

แต่คิดไปคิดมา อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น

ไม่ควรยึดติดกับเวลาและสถานที่

พรุ่งนี้คงงดอัพบลอกหนึ่งวันนะจ๊ะ ;D

เทพธิดาพยายาม

หลายคนพอมีปัญหา
ก็หันหน้าพึ่งญาติบ้าง เพื่อนบ้าง
บางทีไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
ก็อาศัยไปดูหมอดู
ให้หมอดูตรวจดวงชะตา
ว่าช่วงนี้เป็นอย่างไร มีเคราะห์กรรมอะไร
แล้วต้องแก้ด้วยวิธีไหน

จริงๆ ถึงจะเป็นหมอดูที่แม่นที่สุด
ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
อย่างมากเขาก็จะบอกว่าตอนนี้ชีวิตเป็นอย่างไร
แล้วในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
เช่น เมื่อเขาบอกว่าช่วงนี้ดวงไม่ดี
เราก็จะใจชื้นขึ้น แล้วคิดว่า
เห็นไหมที่ฉันโชคร้ายนั้นเกิดมาจากดวง(ล้วนๆ)
ฉันไม่เคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยดวงอย่างเดียวจริงๆ


หลายคนประชดประชันชีวิตว่า ที่คนอื่นเรียนเก่งเพราะเขาหัวดี
ส่วนตัวฉันเองนั้นโง่และไร้ความสามารถ
ที่คนอื่นได้เลื่อนตำแหน่งเพราะเขาเลียแข้งเลียขาเจ้านาย
คนเหล่านั้นโชคดี ส่วนตัวฉันโชคร้าย
แต่คนที่คิดอย่างนั้นอาจจะลืมตัวแปรสำคัญบางอย่างไปในสมการชีวิตของพวกเขา
สิ่งนั้นคืิอความพยายาม

เมื่อก่อนฉันเห็นพ่อแม่บางคนลูบหัวลูกแล้วบอกว่า
ลูกฉันไม่โง่หรอก เป็นเด็กประเภทหัวดีแต่ขี้เกียจ
"แล้วไงล่ะ" ฉันคิด
ฉันหัวไม่ดีหรอก แต่ฉันขยันแทบตาย ฉันพยายามสุดโต่ง
ฉันรู้สึกหงุดหงิดกับคนที่คิดว่าตัวเอง "หัวดีแต่ขี้เกียจ" อย่างสุดซึ้ง
พวกเขาคงคิดว่า นี่ถ้าคนฉลาดอย่างพวกเขาตั้งใจเรียนอีกสักหน่อย เขาก็เก่งได้
แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นไอ้พวกหัวดีแต่ขี้เกียจมันฉลาดขึ้นมาสักวัน
เพราะว่าแค่หัวดีอย่างเดียว แต่ไร้ความพยายาม มันสู้คนอื่นไม่ได้หรอก

ฉันไม่รู้หรอกว่าเหล่าเทพธิดาพยากรณ์บอกอะไรกับเรานัก
แต่ฉันเชื่อว่าหมอดูทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตใครได้
ฉันว่าเราหันมาบูชาเทพธิดาพยายามกันดีกว่า
เชื่อฉันเถอะว่า มีแต่ตัวเราเท่านั้นล่ะ ที่เป็นคนควบคุมชีวิตของเราเองได้จริงๆ
ไม่ีมีใครมาทำให้มันดีขึ้น หรือ แย่ลงได้นอกจากตัวเราเอง

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิถีเป็ด

วันนี้ขณะนั่งทำงาน เห็นเพื่อนที่แลบกำลังวิ่งวุ่นหาของ
ฉันเลยถามว่า เธอดูยุ่งๆนะ
เธอหันมาพูดเร็วๆว่า ก็ยุ่งพอๆกับทุกๆคนแหล่ะ
พอหาของเสร็จ เธอก็เดินหายไป
ฉันก็ยิ้มกับตัวเองแล้วคิดว่า
ฉันเนี่ยแหล่ะที่ไม่ยุ่ง

ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีงานมีการทำนะ
แล้วก็ไม่ใช่ว่าฉันกำลังอู้งานด้วย
เพราะขณะถามเธอ ฉันก็นั่งทำงานของฉันอยู่
แต่ฉันไม่ได้ยุ่งมาก เพราะฉันไม่ได้รีบไปไหน

ฉันชอบดูเป็ดที่สวนใกล้ๆห้องแลบที่ฉันทำงาน
ชอบดูพวกมันเดินไปมาหาอาหาร
ชอบดูพวกมันนั่งเล่นอาบแดด
บางทีพวกมันก็ลงไปดำน้ำ
หรือบางทีก็หดหัวแล้วก็นั่งเฉยๆ
ดูพวกมันจะมีชีวิตที่มีความสุขมากมาย
ไม่ต้องรีบไปตามนัด ไม่ต้องรีบทำงาน
ไม่ต้องมีภาระผ่อนบ้านผ่อนรถ
ไม่ต้องพยายามทำอะไรที่วิเศษวิโสกว่าเป็ดธรรมดาตัวหนึ่ง
ชีวิตของเป็ดจึงน่าอิจฉาสำหรับฉันมาก
แต่ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า พวกเป็ดจะยินดียินร้ายหรือไม่
ที่มีมนุษย์เดินสองขาอย่างมันมาแสดงความอิจฉาในวิถีชีวิตแบบเป็ดเป็ดอย่างพวกมัน

ตอนนี้ฉันพยายามใช้วิถีเป็ดในการดำเนินชีวิตอยู่
ก้าวช้าๆ ร้องก๊าบๆเมื่อมีความสุข กินเมื่อรู้สึกหิว
ลงดำน้ำเมื่อรู้สึกสนุก นอนเมื่ออยากนอน อาบแดดเมื่ออยากพักผ่อน
ไม่ต้องรีบหาอาหาร ไม่ต้องรีบทำงานหาเงิน แล้วรีบนำเงินไปจับจ่ายซื้อสินค้า
ไม่ต้องเร่งให้เป็นที่หนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกยุคไม่ทันแฟชั่น
สนุกเมื่ออยากสนุก และยิ้มเมื่ออยากยิ้ม


เราเห็นสิ่งที่เราคิดถึง

วันนี้เดินผ่านสวน มีเป็ดเยอะแยะนั่งเล่น นอนเล่น เดินเล่นหาอาหาร
ขากลับมีเป็ดคู่หนึ่งเดินอยู่บนกำแพง
ฉันเดินไปพลางบ่นกับเพื่อนว่าพวกเป็ดนี่น่าสบายจริงๆ
เพื่อนฉันทำเสียงฟึดฟัด ฉันเลยถามว่าทำไม อิจฉาเป็ดที่มันเดินกันเป็นคู่เหรอ
เพื่อนฉันบอกว่า เปล่า รู้สึกหิวมาก พอเห็นเป็ดแล้วหิวอยากกินเป็ดย่าง

ฟังดูแล้วก็ตลกดี
คนหนึ่งเห็นเป็ดแล้วรู้สึกอิจฉาที่พวกมันเนี่ยสบายดีจริงๆ
ส่วนอีกคนเห็นเป็ดแล้วหิว อยากหักคอมันมาทำเป็ดย่าง
ทั้งทั้งที่สองคนนี้เดินมาด้วยกัน
แต่คนหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง อีกคนคิดอีกอย่างหนึ่ง
เพราะถึงจะเดินร่วมทางกัน
แต่สิ่งที่คิดถึงกลับเป็นคนละอย่างกัน

เชื้อปัญหา

บางคนที่เป็นหนี้
ก็พยายามแก้ปัญหาด้วยการเก็บหอมรอมริบรายได้
และลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ
เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือมาใช้หนี้
แต่อีกหลายหลายคนก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม
พอถึงเวลาไม่มีจ่ายก็ไปกู้เงินจากอีกแหล่ง
มาโปะหนี้ก้อนเดิม
คราวนี้มีหนี้ทั้งก้อนเดิม ก้อนใหม่
โปะจ่ายไปจ่ายมาใช้หนี้กันไม่จบไม่สิ้น

การแก้ปัญหาสำหรับบางคนอาจจะทำให้ปัญหาเบาบางลง
แต่สำหรับบางคนอาจจะทำให้ปัญหาหนักขึ้น


หลายครั้งที่เรารู้สึกเหงา
เราก็พยายามหาคนคุยด้วย
แต่พอคุยเสร็จ
กลายเป็นว่าเหงายิ่งกว่าเดิม

บางครั้งเราเบื่อไม่มีอะไรทำ
เราก็พยายามออกไปซื้อของจับจ่าย
กลายเป็นว่าบางทีก็ซื้อของที่ไม่ได้ใช้กลับมา

บางครั้งเราเครียดเรื่องงานเรื่องชีวิต
เราก็หยิบขนมขบเคี้ยวเข้าปากไม่ยั้ง
กลายเป็นว่าต่อมาก็เครียดเรื่องอ้วนอีกอย่างหนึ่ง



สิ่งที่เป็นตัวแปรที่ทำให้ปัญหาเล็กลงหรือใหญ่ขึ้น
อาจจะอยู่ที่การทำตามใจตัวเองหรือทำสิ่งที่ควรทำ
บางทีเราก็รู้กันทั้งนั้นว่าอะไรคือสิ่งที่ควรหรือไม่ควร
แต่กลายเป็นว่าปัญหาจะชอบมากองมะรุมมะตุ้มรุมรักชีวิตเรา
และสามารถเพิ่มจำนวนตัวเองขึ้นมาได้เรื่อยๆ
ราวกับเชื้่อแบคทีเรียที่แบ่งตัวอย่างไม่จบไม่สิ้น

ยาฆ่าเชื้อปัญหาที่ดีที่สุดคงเป็นการยับยั้งชั่งใจและใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
เพราะอารมณ์ถือเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อปัญหาเชียวล่ะ





วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปีกนางฟ้า

"นางฟ้า ทำไมถึงจะทิ้งปีกล่ะคะ"
"เพราะว่าการเดินบนพื้นดิน ไม่จำเป็นต้องใช้ปีกไงล่ะจ๊ะ"
"แต่ปีกเป็นสิ่งที่พิเศษมากเลยนะคะนางฟ้า มันทำให้คุณบินไปไหนมาไหนก็ได้"
"แต่ปีกก็ไม่มีประโยชน์ถ้าจะใช้เท้าเดินบนพื้นดินใช่ไหมล่ะจ๊ะ"

นางฟ้าหันมายิ้มให้ฉัน
ก่อนที่ฉันจะลืมตาตื่นขึ้นมา




นกเพนกวินยอมทอดทิ้งทักษะการบิน
เพื่อให้มันสามารถลงไปว่ายน้ำจับปลาได้
โลมาสลัดเปลี่ยนขาหลังเป็นครีบ
ทำให้พวกมันสามารถว่ายน้ำได้
ตัวตุ่นบางชนิดตาบอดเพราะมันอยู่แต่ในรูที่มีแต่ความมืด
แต่มันก็มีเท้าหน้าที่แข็งแรงและจมูกที่ว่องไว

แม้ปีกจะเป็นสิ่งพิเศษที่สุด
แต่สำหรับการเดินบนพื้นดินนั้น
ปีกก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าส่วนเกินและสิ่งประดับ


ไม่ว่าใครจะบอกว่ามันน่าเสียดายเหลือเกิน
ที่จะทอดทิ้งโอกาสดีดีหรือบางสิ่งที่แสนพิเศษไป
ไม่ต้องเสียดายหรอก
หากว่าสิ่งนั้นมันไม่จำเป็นสำหรับเราแล้ว
ก็ทิ้งมันไปเถอะ


หมดอายุ

วันนี้เดินไปยืมหนังสือที่ State library
เดินผ่านส่วนของซีดีเพลง
เดินดูซีดีหลายอัลบัมที่เคยอยากได้สมัยเด็กๆ
เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว
ตอนนี้หยิบมันขึ้นมา แล้วยิ้ม
แล้ววางมันกลับไปที่เดิม
น่าแปลกที่ของบางอย่าง
เราอยากได้มันเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป
ความรู้สึกอยากได้มันก็มลายหายไปหมด

แต่ความจริงข้อนี้อาจใช้ไม่ได้กับสิ่งของหลายๆอย่าง
เพลงบางเพลงเราอาจจะฟังอย่างไม่เคยเบื่อ
หนังสือบางเล่มเราอาจจะเปิดอ่านได้อย่างไม่จบไม่สิ้่น
รูปบางรูปเราอาจจะเห็นว่ามันสวยเสมอ


คล้ายคล้ายกับความรัก
ความรักของคนบางคนมีอายุแสนสั้น
แต่กับหลายหลายคน ความรักดูเหมือนจะเป็นของที่ไม่สิ้นอายุขัย



วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตื่น

เราทำงานและใช้ชีวิตอยู่ ก็เฉพาะเวลาที่เราตื่นเท่านั้น
อย่ามัวแต่ฝันอย่างเดียวนะ :)

สารที่ไม่ได้สื่อ

การเขียนโปสการ์ดหรือจดหมายนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับฉัน
โดยเฉพาะตอนที่เริ่มเขียน ฉันรู้สึกว่ากระดาษนั้นกว้างเท่าสนามฟุตบอล
แต่พอเขียนไปได้ครึ่งหนึ่ง บางครั้ง ฉันรู้สึกว่ากระดาษนั้นกว้างขึ้น
เพราะหมดเรื่องที่จะเขียนแล้ว
แต่ในขณะที่บางที กระดาษนั้นก็ดูเล็กลง จนต้องบีบอัดตัวอักษรลงไป

มีเพื่อนฉันคนหนึ่ง เวลาเธอส่งโปสการ์ดมาให้ฉัน
มักจะปะแสตมป์ทับข้อความตัวเองเสมอ
ฉันไม่แน่ใจว่าเธอเป็นพวกขี้ลืมว่าต้องปะแสตมป์
หรือจริงๆแล้ว แค่เขียนสิ่งที่อยากเขียนบนกระดาษ
โปสการ์ดใบนั้นก็สมบูรณ์สำหรับเธอแล้ว
ส่วนคนรับจะเข้าใจมันหรือไม่ก็ไม่สำคัญอะไรกับเธอ
แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณที่เธอไม่เคยลืมเขียนที่อยู่ฉัน
อย่างน้อย ฉันก็ได้รับมันทุกฉบับ
แม้ว่าจะอ่านได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
แต่ก็ทำให้รู้ว่า เธอมีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังมากมาย
จนเนื้อที่กระดาษไม่พอ


หลายครั้งที่โปสการ์ดของฉันไปไม่ถึงมือผู้รับ
ฉันเคยสงสัยเหมือนกันว่าโปสการ์ดพวกนั้นไปตกหล่นอยู่ที่ไหน
มันถูกส่งไปผิดบ้าน หรือถูกรวมไว้ที่ทำการไปรษณีย์
บางทีมันอาจจะหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง

























สมมติว่าถ้าโลกนี้มีห้องโถงใหญ่เอาไว้เก็บข้อความต่างๆที่ไปไม่ถึงมือผู้รับ
ในแต่ละนาทีคงมีข้อความมากมายหลายหมื่นหลายแสนข้อความถูกนำเข้ามาเก็บในโกดัง
และคำว่า"รัก"คงเป็นข้อความลำดับต้นๆเลยกระมังที่ไม่ได้ถูกบอกออกไป

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฝนตกที่ดวงใจ

วันนี้เข้าไปอ่านเวบของคุณวินทร์มา
บทความจะถูกอัพเดททุกวันเสาร์
อาทิตย์นี้ชื่อบทความว่า “แล้วไงล่ะ?”
พูดถึงเรื่องของผู้ชายจีนคนหนึ่ง
เขาไม่มีแขนทั้งสองข้าง
แต่ได้ขึ้นเวทีประกวด China's got talent
เขาโชว์เล่นเปียโนโดยใช้เท้า

ขอยกตอนที่ชอบขึ้นมา


<< คนเหล่านี้เลือกที่จะพูดว่า “แล้วไงล่ะ?” แทนที่จะเป็น “ไม่เอาแม่ งแล้วโว้ย! ตายดีกว่า” ไปต่อหรือไม่ไปต่อขึ้นกับทัศนคติของเราเองว่าจะใช้เกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง “แขนไม่อยู่แล้ว แล้วไงล่ะ?” “นัยน์ตาเสียไปแล้ว แล้วไงล่ะ?” “เท้าหายไปแล้ว แล้วไงล่ะ?” “อีกสองเดือนก็ตายแล้ว แล้วไงล่ะ?” ‘แล้วไงล่ะ?’แปลว่าก ูยังคิดที่จะมีชีวิตอยู่! ขอเวลาก ูคิดหน่อย แต่จะเดินหน้าไปแน่โว้ย! หลิว เหว่ย ใช้เกียร์เดินหน้า >>


อ่านทั้งหมดแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่เราไม่ได้มองย้อนกลับไป
ยังหลายๆคนที่ไม่เคยหยุดพยายาม
ไม่เคยจะท้อเลยสักวัน
แม้ว่าการก้าวแต่ละก้าวของพวกเขา
จะยากลำบากกว่าเราเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
มันเหมือนกับที่ฉันวิ่งในสนาม
แต่วิ่งไปได้หน่อยก็เบื่อ
บ่นกับชีวิตไม่หยุดหย่อน
แล้วพอเหลียวมองคนพวกนี้ที่เขาไม่เคยหยุด
ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวของพวกเขา
ได้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ยอมแพ้ในใจฉัน
เมล็ดพันธุ์พวกนี้กำลังงอกงามผลิดอก
และบอกกับตัวฉันว่า
พรุ่งนี้เรามาสู้ด้วยกันนะ :)



กระเป๋าใหม่

เคยวาดสับปะรดในคาบ Scientific Illustration
เลยเอามาวาดลงกระเป๋าเลย (ด้วยความขี้เกียจ)
ถุงผ้า ราคา 2.50 ดอลล่าร์ออสเตรเลีย
ปากกา ยูนิบอล (มันบอกว่ากันน้ำ ก็เชื่อมัน แต่ตะกี้ลองเอาน้ำแตะๆ หมึกไม่ละลายแฮะ)
:D ดีใจ... ไว้จะซื้อมาวาดเล่นอีก เย่!!



จาก no rain on the moon

ฝัน

เมื่อคืนฝันว่าตัวเองได้ทุน
แล้วเดินทางไปเซ็นสัญญารับทุน
รู้สึกดีใจมากเลยที่ได้ทุนแล้ว
ดีใจที่จะได้ไปต่างประเทศ
ดีใจที่ได้เดินตามความฝัน

พอตื่นขึ้นมาก็พบว่า

เฮ้ย ฉันอยู่นี่แล้ว
ได้มาแล้วไง
แล้วตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่

ไร้นาม

ต้นไม้ที่ไร้นาม ผลิดอกได้แม้ไม่มีใครเห็น
นกที่ไร้ชื่อ กู่ร้องได้แม้ไม่มีใึครฟัง
คำนามมีไว้ เพื่อให้มนุษย์ใช้เท่านั้น

ไม่ลืมตัว

เวลาที่วาดรูป เราจะใส่อะไรในรูปที่เราวาดก็ได้
เราอยากจะวาดผู้หญิงมีหูแมวหรือจมูกหมู เราก็วาดได้ทั้งนั้น
หรือเราจะระบายสีดอกกุหลาบเป็นสีดำ ดอกชบาสีม่วงก็ทำได้

น่าแปลกที่หลายๆครั้งเราก็ทำตัวเหมือนรูปวาดบนกระดาษ
มีใครไม่รู้วาดอะไรเติมลงไปเต็มไปหมด
ทั้งความคิดเห็น คำสรรเสริญเยินยอ และถ้อยคำดูถูกเหยียดหยัน
รวมทั้งความคาดหวังที่พวกเขาใฝ่หา
จนบางทีเราก็ลืมไปแล้วว่าแต่เดิมเราเป็นอย่างไร



หลายครั้งที่ฉันคิดว่าฉันสูญเสียตัวตนไป
แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าฉันตั้งใจจะทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้เพราะอะไร
หลายคนมีปากกาแห่งความคาดหวัง
ดินสอแห่งความคิดเห็น
มาคอยขีดเส้น วาดภาพคนอื่น
แม้ว่าใครจะพยายามแต่งเติมฉัน
แต่ฉันจะไม่ลืมว่าฉันไม่ใช่รูปภาพบนกระดาษ
แม้ว่าจะมีคนนับร้อยนับพันมาเขียนแต่งแต้มฉันอย่างไร
หากฉันไม่ฝังมันลงไปในตัวฉันเสีย
คำพูดพวกนั้นคงไม่มีความหมาย
ฉันจะวาดภาพของตัวเอง
ด้วยตัวของฉันเองเท่านั้น

จาก no rain on the moon




ปล. หลายครั้งที่หายไปไม่ได้วาดรูป
บางทีก็ไม่ว่างจริง
บางทีไม่วาดเพราะรู้สึกว่า
วาดแล้วไม่สนุกเลย
เราเป็นพวกสูญเสียตัวตนได้ง่าย
มีเพื่อนสนิทเราคนหนึ่ง
เข้ามาบอกเราว่า
เนี่ย อยากให้ลงสีรูปที่วาด
เพราะคงสวยดี
เราก็เม้งใส่ไปรอบนึง
ผ่านไปอีกเดือนสองเดือน
มันก็กลับมาอีกแล้วความคิดเห็น
เพื่อนเราบอกว่าอยากบอก
ว่าพอเห็นภาพแล้ว
อยากให้มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
ก็เลยคอมเม้นท์ไปตามที่คิด
ตอนนั้นเรานั่งคิดหนักเลย
ว่าที่เราวาดนั้น วาดไปทำไม
เราก็ตอบว่า เราวาดเพราะสนุก
แต่ที่วาดแล้วเอามาลงก็คือ
เอามาอวด แบ่งกันดูเนอะ
แต่ถ้าเราวาดเพราะคนอื่นอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้
รูปที่เราวาด ก็ไม่ใช่รูปที่เราวาด
แต่เป็นรูปที่คนอืนสั่งให้วาด
มันจะเป็นเราเหรอ
นี่มันงานอดิเรกเรานะ
เราน่าจะมีโอกาสคิดตัดสินใจได้ในพื้นที่ของเรา
เราชอบคำแนะนำนะ เพื่อการเรียนรู้
แต่พอรู้สึกว่าบางคนใส่ "ความต้องการ" ลงไป
ก็รู้สึกว่ามันเกินขอบเขตแล้ว
ตอนนั้นสับสนมาก
แต่ตอนนี้ได้ข้อสรุปแล้วว่า
ดอกไม้มันบานของมันเองได้
ไม่ต้องให้คนมาชม มาด่า
มาบอกว่า มันต้องออกดอกสีอะไร
บานเมื่อไหร่ โรยเมื่อไหร่
มันเลือกของมันเอง
ถ้ามีคนเดินมาหยุดตรงหน้ามันแล้วยิ้ม
มันก็ดีใจ
ถ้าคนเดินไปกระทืบมัน
ดอกไม้มันก็ทำอะไรไม่ได้
อีกสักพักได้น้ำ
เดี๋ยวต้นไม้ก็งอกดอกไม้ดอกใหม่
บางทีมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่สำคัญมาก
ที่เราค่อยๆค้นพบและมองเห็นตัวเอง
และค่อยๆผลิบาน

ปอลิง ตอนนี้ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธนะ
แล้วไม่ได้โกรธเพื่อนคนนั้นด้วย
ถือเป็นข้อสอบชีวิตอันนึงที่ยากเอาการเลยทีเดียว :D

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กรุณาอย่าส่งเสียงดังในห้องสมุด

วันนี้เข้าไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดประชาชน
มีสาวสองคนพูดกันจ๊อกแจ๊กที่ชั้นหนังสือภาษาอินโดนีเซีย
ฉันก็เดินผ่านไปไม่ได้สนใจอะไร
สักพักเธอสองคนมานั่งที่ห่างจากฉันไปสักสามเมตร
และยังคงคุยไม่หยุด
คิดเธอคงพยายามกระซิบกัน
ในระยะที่หูฉันยังได้ยิน
ฉันพยายามหันไปสบตาและยิ้มให้
เพื่อให้พวกเธอรู้ว่าแม้ห้องสมุดมันไม่ค่อยมีคน
แต่ก็มีคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้
และได้ยินที่พวกเธอพูดกันนะคะ
แต่ดูเหมือนเธอคนที่สบตากับฉันจะไม่เข้าใจภาษากาย
เอ้า... ไม่เป็นไร นิดๆหน่อยๆ
อีกอย่างพวกเธอพูดภาษาอินโด
ฉันฟังไม่รู้เรื่องหรอก

หลายครั้งบนรถเมล์
มีหลายคนนั่งคุยโทรศัพท์
บางทีฉันนั่งเครียดจากรถติดที่กรุงเทพอยู่แล้ว
นี่ยังต้องนั่งฟังคนพูดนินทาชาวบ้าน
เล่าปัญหาชีวิต คุยเรื่องงาน
ชีวิตช่างอนาถเหลือหลาย




ถึงจะบ่นไปนั่น
แต่จริงๆเมื่อก่อนฉันก็เคยนั่งคุยกับเพื่อนในห้องสมุด
และเม้าท์ทางโทรศัพท์กับเพื่อนบนรถเมล์ตอนรถติดเหมือนกัน
แล้วฉันก็คิด(ในตอนที่ทำว่า) นิดๆหน่อยๆ ไม่ได้เสียงดังหรอกน่า
ฉันคิดว่า คนที่กำลังส่งเสียงอยู่ ก็คงคิดอย่างฉันในตอนนั้นเหมือนกัน
มันเลยทำให้ฉันมองเห็นตัวเองจากพวกเขา
และเข้าใจพวกเขาจากตัวเอง


เรื่องพวกนี้ขยายไปได้ถึงอารมณ์หลายๆอย่าง
พักหลังๆฉันชอบอ่านกระทู้ดราม่าเป็นพิเศษ
ดราม่านี้แปลว่าเหมือนกับนิยาย
แต่จริงๆฉันว่าเหมือนกับชีวิตจริงของเรานี่แหล่ะ
หลายคนโกหกและพยายามปกป้องตัวเองสุดชีวิต
หลายคนพยายามจับโกหกแล้วคาดคั้นเอากับคนอื่น
หลายคนโกรธที่คนอื่นมาว่าคนที่ตัวเองรัก
หลายคนสะใจที่คนอื่นตีกัน

อารมณ์เหล่านี้ฉันก็เป็นมาเป็นมาหมดแล้ว
พอมองเห็นสิ่งที่คนอืนแสดงออกมา
ก็เห็นภาพของตัวเองที่เคยทำอย่างนั้น
ฉันพยายามนึกย้อนว่าตอนที่ทำรู้สึกอย่างไร
แน่นอนว่าตอนที่เราทำตัวแย่แย่
เราจะสติขาดผึงแล้วเผลอทำอะไรโดยไม่รู้ตัว
อย่างเช่นตอนโกรธ ฉันจะใจสั่นตึ่กตึ่ก
มันจะรู้สึกหน้าร้อนวูบๆ
หรืออย่างตอนที่มีใครมากล่าวโทษฉัน
ฉันจะหน้าชาๆ แล้วเหตุผลร้อยแปดประการที่จะใช้แก้ตัวก็ผุดขึ้น
ซึ่งเหตุผลหลายๆอย่างที่เราใช้ตอนนั้น
มันดูจะไม่สมเหตุสมผลจนคนจับได้


เพราะฉันรู้ว่าเวลาพูดในห้องสมุด
แม้เสียงเบาขนาดไหนก็มีคนได้ยิน
เพราะฉันรู้ว่าเวลาคุยโทรศัพท์บนรถเมล์
คนที่อยู่บนรถคงจะรำคาญ
เพราะฉันรู้ว่าเวลาโกรธ โมโห ฉุนเฉียว
ฉันจะมีหน้าตา ท่าทาง กิริยาอย่างไร
ฉันจึงพยายามบอกตัวเองทุกครั้ง
ที่เลือดขึ้นหน้าหรือใจสั่น
ว่าถ้าทำตามอารมณ์
ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร


จริงๆ เราก็มีความไม่ดีในตัวเราเอง
แต่เรามักมองความไม่ดีของตัวเองไม่เห็น
แต่บางที ความไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นตัวบอกเราได้
หากเราจะสังเกตดีดี


จาก no rain on the moon

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

the last train

ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงม้านั่งบนชานชาลารถไฟ
เธอไม่ใช่ผู้หญิงสวย แต่เธอมีแรงดึงดูดบางอย่าง
สายตาของเธอกำลังมองไปยังท้องฟ้าที่ไกลแสนไกล
ผมนั่งลงข้างๆเธอ

"กำลังรออะไรอยู่เหรอครับ" ผมถาม
"กำลังรอรถไฟขบวนสุดท้ายค่ะ"
"รถมาเมื่อไหร่ครับ"
"ไม่รู้สิคะ"
"แล้วรถไฟขบวนสุดท้ายหน้าตาเป็นยังไงครับ"
"นั่นสินะ "


เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆหลังจากที่ตอบคำถามผม



ผมแอบมองหน้าของเธอใกล้ๆ
คุณเคยรู้สึกไหม ผู้หญิงบางคนไม่ได้สะสวย
แต่คุณก็ไม่อยากละสายตาไปจากเธอ

"ผมกำลังจะเดินทาง คุณจะไปด้วยกันไหม"
"ไปที่ไหนคะ"
"ไปที่ไหนก็ได้ครับ ผมกำลังหาเพื่อนเดินทาง"
"คุณใช่รถไฟขบวนสุดท้ายหรือเปล่า"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"...." เธอเงียบ
"รถจะออกแล้ว จะไปด้วยกันไหมครับ"
เธอหันมายิ้ม แล้วส่ายหน้าเบาๆ
"คงต้องลากันตรงนี้ ดีใจที่ได้เจอนะครับ"

ผมหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบนบ่า แล้วเดินจากมา
ก่อนก้าวขึ้นรถไฟ ผมหันไปยิ้มและโบกมือลาเธอ
ผมไม่รู้หรอกว่ารถไฟขบวนนี้คือรถไฟขบวนสุดท้ายของเธอหรือไม่
ผมรู้แต่เพียงว่า รถขบวนสุดท้ายที่เรารอคือรถที่เราเลือกที่จะขึ้น
เธออาจจะลืมความจริงข้อนี้ไป
หรือบางทีเธออาจจะคิดว่า
การรอบนชานชาลาอย่างเดียวดายนั้นปลอดภัยสำหรับเธอที่สุดแล้ว


จาก no rain on the moon

The Cat Returns




ไปยืม DVD มาจาก State Library
พากษ์อังกฤษ (แต่หน้าปกบอกว่าซับอังกฤษ - -'')
ภาพสวย เรื่องสนุก ตัวละครน่ารัก
สิ่งที่ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จงเป็นตัวของตัวเองนะ ^^
ปล. เมี๊ยววววววว.....
ขอบคุณภาพจาก wiki จ๊ะ

มารยาท

ตอนเด็กๆ แม่มักพร่ำสอนให้ฉันหัดมีมารยาทเวลากินข้าว
มีมารยาทอย่างนั้น อย่างนี้
ฉันเคยคิดว่า มารยาทคงเป็นสิ่งที่ติดตัวผู้ดี
และก็นึกสงสัยเหมือนกันว่า
ไอ้การที่ฉันจะทำตัวไร้มารยาทบ้าง มันจะแย่สักแค่ไหนกันเชียว



ฉันเชื่อว่าทุกคนมีอาณาจักรเป็นของตัวเอง
อาจจะไม่ใช่พื้นที่ในเชิงนามธรรม
แต่เป็นพื้นที่ในทางจิตใจ
ทุกคนจะมีพื้นที่ส่วนตัวในเชิงความคิดเห็นต่อตัวเอง
ต่อเพื่อนฝูงหรือสังคม รสนิยม ความชอบ ไม่ชอบ
เหล่านี้รวมกันเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรืออาณาจักรของเรา
แน่นอนว่าเราไม่ได้อนุญาติให้ทุกคนเข้ามาในเขตพื้นที่ของเรา
เราอาจจะยอมให้เขาเข้ามาแตะที่รั้วบ้าน
บางคนที่รู้จักกันอาจได้เข้ามาเดินเล่นในสนาม
บางคนถ้าสนิทหน่อยอาจอนุญาติให้เข้ามาในบ้าน เข้าครัว เข้าห้องนั่งเล่น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าของบ้านจะอนุญาติเฉพาะกับบางคนเท่านั้น

แต่หลายๆครั้ง เราก็พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เข้ามาสร้างความวุ่นวายทางอารมณ์
คล้ายๆกับมีคนใส่รองเท้าลุยโคลนย่ำเข้าบ้านเราก็ไม่ปาน


ฉันเคยคิดว่ามารยาททั้งหลายที่กำหนดมา
อาจเป็นเครื่องมือช่วยทำให้เราได้รับการยอมรับจากสังคม
จนเมื่อฉันโตขึ้น ฉันพบว่าจริงๆแล้ว มารยาทนั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูผู้ปฏิบัติ
แต่มันแสดงออกถึงความใส่ใจต่อผู้อื่น
ที่อาจได้รับความเดือนร้อนจากการกระทำอันไร้มารยาทของเรา

ฉันเห็นบางคนเคี้ยวข้าวอ้าปากจนเม็ดข้าวกระเด็นออกมา
มันก็ไม่ผิดบาปอะไร แต่อาจทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารด้วยรู้สึกรังเกียจ
บางคนเข้ามาพูดคุยหยอกเอินทำเป็นเหมือนคนที่สนิทกับนับสิบปี ทั้งๆที่ไม่ได้สนิทสนมอะไร
ทำตัวเหมือนแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่เดินเข้ามาในห้องนอนของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
เหล่านี้ทำให้ฉันเริ่มคิดว่า จริงจริงแล้วที่ฉันพยายามทำตัวมีมารยาท
ก็เพราะว่าฉันคำนึงถึงจิตใจของคนอื่น
ที่สำคัญก็คือฉันไม่ต้องการให้ใครมาก้าวล่วงพื้นที่ส่วนตัวของฉันเช่นกัน


กลอน3

เชิดหน้าสู้ฟ้าฝน เกิดเป็นคนต้องฟันฝ่า
กว่าฝันจะได้มา สู้ยิบตามิบ่นพร่ำ
พรุ่งนี้คงดีกว่า ถ้าวันนี้ได้เริ่มทำ
สติเป็นตัวนำ ฉันจะย่ำเท้าก้าวไป




ปล.หลังจากระบายลงบลอกมากมายก็หายบ้า
กลับไปนั่งอ่านเปเปอร์เขียนmanuscriptต่อได้ ให้ตายเถอะโรบิน!

กลอน2

พร่างพรมฝนหล่นมา สกุณาบินกลับรัง
เฝ้านึกถึงความหลัง ยามฉันยังแย้มเยาว์วัย
โลกนี้ช่างสวยงาม ยามมองฟ้าเห็นฟ้าใส
พริบตามิทันไร โลกเปลี่ยนไปไม่อาทร

ละครแห่งชีวิต ใครลิขิตเป็นเจ้าของ
ใครเป็นผู้ครอบครอง คุมครรลองชีวิตฉัน
โลกนี้มิสวยสด ไปทั้งหมดเหมือนวันนั้น
ทุกข์โหมที่โรมรัน คอยฆ่าฟันฝันวันเยาว์

ดวงตาของฉันนั้น ผ่านคืนวันร้อนฝนหนาว
วันที่ฟ้าสกาว วันที่ดาวไม่ส่องแสง
เรื่องเล่าจากแววตา ไม่ต้องหาคำแจกแจง
ฉันใกล้ลับดับแสง หมดเรี่ยวแรงแห่งศรัทธา

กลอน1

หมู่เมฆาพากันเคลื่อนเลื่อนลอยลา เปิดนภากระจ่างพร่างพราวแสงดาว
ราตรีนี้เดือนส่องแสงสุกสกาว แวววับวาวราวกับดวงตาของเธอ
เยาวมาลย์ค่ำคืนนี้เธออยู่ไหน รู้บ้างไหมว่ามีคนคอยพร่ำเพ้อ
ขอฝากถ้อยพจีร้อยเรียงเสนอ ไปถึงเธอผ่านทางแสงแห่งดารา

เมฆเลื่อนมาปิดท้องฟ้าจันทราลับ แสงมืดดับระงับดาราเงียบหาย
ห่วงนวลน้องเธอคงต้องหนาวใจกาย รักมิคลายสายสมรของพี่ยา
เราไกลกันดั่งผืนฟ้ามากั้นไว้ แต่ใจพี่มีแต่เจ้าดวงยี่หวา
พี่ใช่เพียงพูดพล่อยร้อยรจนา ขอสัญญารักมั่นนิรันดร

คำตอบ

เดิมไม่เคยคิดหาคำตอบ เดิมไม่เคยจะรู้ที่บอก
ยามไม่มีผู้ใดคอยปลอบ ว่าสักวัน
ยามเมื่อลมฟ้าฝนแปรเปลี่ยน โดนผู้คนทำร้ายข้างเคียง
เธอเป็นลมที่พัดมาเยี่ยมและปลอบใจ

อยากรู้ ว่าเธอคือคนเช่นไร
อยากรู้ เธอมาหมอกร้ายก็หายไป
อยากรู้ ทิศทางเธอมานั้นเพื่อใคร
ให้คำตอบ กับฉัน ให้เธอบอก คำนั้น
ให้เธอลอง บอกฉัน ว่ารักเธอเพื่อนใจกันและกัน



เธอคือลมที่พัดผ่านไป
แล้วไม่หวนคืนมา
เหลือทิ้งเพียงร่องรอยของเวลา
และคราบน้ำตาแห่งความคิดคำนึง
เธอคือลมเย็นพัดมาอย่างไม่บอกกล่าว
และลาจากไปอย่างเงียบเชียบ
ฉันเฝ้ารอคืนวันอันแสนหวานคืนกลับ
แต่คงจะไม่มีวันเหล่านั้นต่อไปอีกแล้ว

ติด ร. วิชาโลก

ตอนเราเรียนมัธยม เราก็คิดอิจฉาเด็กประถมที่เรียนง่ายกว่าเราตั้งเยอะ
ตอนเราเรียนมหาลัย เราก็นึกถึงสมัยมัธยมที่เที่ยวเล่นสนุกสนานกับเพื่อน
พอเราเริ่มทำงาน เรากลับพบว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเนี่ยอิสระที่สุดแล้ว

เมื่อเราย้อนกลับไป เราจะพบว่าสิ่งที่เราได้เคยทำนั้นไม่ยาก
อย่างเช่นให้เราไปบวก ลบ คูณ หาร เลขของเด็กประถม
เราก็จะคิดว่ามันง่ายมากๆ ทำแป๊ปเดียวก็เสร็จ
แต่ถ้าย้อนนึกกลับไปตอนที่เราอยู่ชั้นประถม
เราก็คิดว่า การบ้านพวกนี้ยากมาก คิดเท่าไหร่ก็คิดไ่ม่ออก

ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ก็เช่นกัน
มันดูช่างยากเย็นเข็ญใจนักเมื่อเราเผชิญกับมันครั้งแรก
แต่พอครั้งที่สองหรือสาม เราก็เริ่มที่จะรับมือกับมันได้
แต่หลังจากนั้น ปัญหาที่ยากกว่าเดิมก็จะเดินทางมาหาเรา
การใช้ชีวิตบางทีก็เหมือนการสอบเลื่อนชั้น
บางคนสอบตกวิชาการใช้ชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สอบตกวิชาทำมาหากิน วิชาการใช้เงิน วิชาครอบครัว วิชาหน้าที่
เราคงเคยสอบตกวิชาใดวิชาหนึุ่งของโลกมาแล้ว
แต่อยู่ที่ว่าเราจะตกซ้ำวิชาเดิม
หรือใช้ความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมาเป็นครูสอนให้เราได้สอบผ่านครั้งถัดไป
สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องเปิดใจที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา
และอย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีต


บางทีการแก้ปัญหาในชีวิตก็เหมือนกับการปีนภูเขา
ลูกที่ปีนยากที่สุดและสำคัญที่สุดคือลูกที่เรากำลังปีนอยู่
ถ้าเรามัวแต่มองย้อนไปดูแต่เขาลูกที่เราปีนผ่านมา
เราอาจจะเผลอปล่อยมือพาตัวเองกลิ้งตกเขาลูกที่ปีนอยู่ก็ได้


จาก no rain on the moon

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หูไม่เท่ากัน

ธรรมชาตินั้นไม่สมบูรณ์แบบอย่างสมบูีรณ์แบบ
ทุกอย่างมีข้อบกพร่องหรือจุดด้อยทั้งนั้นถ้าเราจะมองหามัน
น่าสังเกตว่า ยิ่งเราทำอะไรซ้ำๆบ่อยๆ
เราก็จะทำสิ่งนั้นได้เร็วขึ้นและดีขึ้น
เช่น กระเป๋ารถเมล์จะสามารถทอนเงินค่าตั๋วได้ไวมาก
เพราะเขาต้องทอนเงินบนรถสายเดิมทุกวัน
หรือโทรศัพท์มือถือที่เราใช้งานประจำ
ถ้าเราเปลี่ยนเครื่องใหม่เป็นคนละยี่ห้อหรือคนละรุ่น
ความเร็วในการใช้งานของเราก็จะลดลง
พูดง่ายๆก็คือ ยิ่งเราทำอะไรบ่อยๆ เราก็จะชินจนเป็นนิสัีย
ถ้าเรายิ้มบ่อยๆ จนเป็นนิสัย เราก็จะพบว่าการยิ้มนั้นง่าย
ถ้าเราหงุดหงิดบ่อยๆ จนเป็นนิสัย เราก็จะหงุดหงิดแม้มีอะไรนิดหน่อยมากระทบ
ถ้าเราจับผิดคนอื่นบ่อยๆจนเป็นนิสัย แม้ไม่มีอะไรผิด ก็เห็นสิ่งที่ผิดอยู่ดี

จาก no rain on the moon

ขนาดรูปนี้ยังมีคนบอกว่าหูหมีไม่เท่ากันเลย


ปอลิง. บางครั้งนอยด์นะ พวกติไม่ได้ก่อเนี่ย ไม่เชิงว่ารับคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ แต่คำวิพากษ์วิจารณ์บางอยย่างก็ไม่ได้พูดถึงข้อด้อยเพื่อให้งานมันพัฒนา แต่เป็นการชี้ปมด้อยที่บางทีมันก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาดอะไรเลย รูปนี้เราก็งงว่า มันไม่เท่ากันตรงไหนวะ ปากมันยังเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดมากกว่าเสียอีก

ดวงจันทร์นั้นไร้ฝน

ฉันตั้งชื่อบลอกนี้ตอนฝนกำลังตกพรำๆ
เพราะบนดวงจันทร์ไม่มีฝน
คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมดวงจันทร์ฝนไม่ตก
ทั้งทั้งที่อยู่ใกล้โลกนิดเดียว
น่าจะแบ่งน้ำที่ท่วมๆโลกไปตกบนดวงจันทร์เสียบ้าง

ในแบบเรียนวิชาสปช.บอกฉันว่าประเทศไทยมีสามฤดู
คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว
แต่จากการที่ฉันใช้ชีวิตในประเทศไทยมายี่สิบกว่าฝน
ฉันพบว่า ฤดูหนาวในเมืองไทยมีอยู่ไม่กี่วันหรือบางปีอาจไม่มีเลย
วันที่เหลือเป็นฤดูร้อนทั้งหมด อาจจะเป็นฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก ฤดูร้อนมากๆ
และ ฤดูร้อนที่ฝนตก เพราะแม้ว่าฝนตกก็ยังร้อนอยู่ดี
ฉันเลยรู้สึกว่าความรู้ในตำรานั้นเอามาใช้บรรยายสภาพอากาศในเมืองไทยไม่ได้
อาจเป็นเพราะโลกกำลังร้อนขึ้น
หรือตำรับตำรานั้นเก่าเกินไป

และนับตั้งแต่ฉันย้ายตัวเองมาอยู่ประเทศเขตอบอุ่นได้ปีกว่า
ฉันพบว่าความรู้ว่าประเทศไทยมีสามฤดูนั้น
แทบไม่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตที่นี่
เพราะที่นี่มีสี่ฤดู
และกลางวันกับกลางคืนในบางฤดู
อุณหภูมิอาจต่างกันเป็นสิบองศา

ส่วนดวงจันทร์นั้นแม้จะโคจรอยู่ใกล้กับโลก
แต่บนดวงจันทร์ไม่มีฝน
เพราะว่าขนาดของมันเล็กเกินกว่าที่จะสร้างแรงดึงดูดต่อแก๊สและไอน้ำ
ที่เป็นส่วนประกอบของบรรยากาศ
เมื่อไม่มีบรรยากาศ
ดวงจันทร์จึงไม่มีฝนพรำพรำเหมือนโลกของเรา
ถ้าดวงจันทร์จะมีฝน ก็คงมีแต่ฝนดาวตกกระมัง :D

แต่ละคนแตกต่างกัน

ฉันคิดว่าสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบนั้น
ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกัน
ฉันอาจจะชอบสีม่วง
ในขณะที่เพื่อนสนิทของฉันชอบสีส้ม
ฉันอาจจะเลือกกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
ในขณะที่เพื่อนของฉันอาจจะกินเย็นตาโฟ
แม้แต่ฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกัน
สิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบก็ต่างกัน

ฉันคิดว่าสิ่งที่เราชอบหรือไม่ชอบ
มักจะมีที่มาที่ไปเสมอ
บางครั้งเราก็จำได้ว่าทำไม
แต่บ่อยครั้งที่เรามักจะลืมไปแล้ว
เพื่อนของฉันคนนึงกลัวแมงมุมมาก
ฉันถามเธอว่าทำไมถึงกลัวแมงมุม
ตอนแรกเธอจำไม่ได้
แต่พอใช้เวลาสักพักเธอก็เล่าให้ฟังว่า
ตอนเด็กๆ เคยมีแมงมุมตัวประมาณหัวแม่โป้ง
ห้อยตัวลงมาจากเพดานที่โรงเรียน
แล้วแมงมุมตัวนี้ก็มีลูกแมงมุมเกาะอยู่เต็มไปหมด
ตอนนั้นเพื่อนของเธอปัดเอาลูกบอลแมงมุมใส่หน้าเธอ
เธอเลยกลัวแมงมุมนับแต่นั้นมา
ไม่ว่าจะเป็นแมงมุมเป็นๆหรือแมงมุมที่ตายแล้ว
และแม้ว่าเธอจะเกือบลืมเหตุการณ์ในตอนเด็กแล้ว
แต่ความกลัวแมงมุมก็ยังฝังใจ

หลายครั้งฉันพบว่าสิ่งที่ฉันชอบตอนนี้
อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ฉันเคยชอบ
หรือคิดที่จะชอบมาก่อน
จริงๆแล้วฉันไม่ได้ชอบฝนเป็นพิเศษ
แต่หลายๆคนที่ฉันรู้จักชอบฝน
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงชอบฝน
แต่เมื่อฟังคนพูดถึงฝนบ่อยๆ
มันก็ทำให้เสียงของฝนน่ารักขึ้น
แม้ว่าฉันจะแอบโอดครวญในใจทุกครั้ง
ที่ต้องกางร่มออกจากบ้าน
แต่ความรู้สึกของฉันเกี่ยวกับฝนก็เปลี่ยนไป

สิ่งเล็กๆน้อยๆจากเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ทำให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน
คล้ายรอยพับบนหนังสือ
รอยเปื้อนบนผ้าเช็ดมือ
รอยขีดข่วนบนปกสมุด