วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

overcome

เมื่อปีก่อนๆ ฉันเครียดมากๆ
เพราะทำแลบเท่าไหร่ๆ ก็เฟล
เป็นครึ่งๆ ปี ที่ผลแลบไม่ออก
ทำไปกี่ร้อยรีแอคชั่นได้มาแต่ความว่างเปล่า
นั่งร้องไห้คาห้องแลบก็เคยมาแล้ว

อีกครั้งหนึ่งที่ทำแลบ
ทำโปรเจกส์นี้สองสามเดือน(พร้อมๆกับโปรเจกส์อื่น)
กะว่าจะต้องได้ตีพิมพ์สาหร่ายสปีชีส์ใหม่
แล้วก็ต้องมาพบทีหลังว่า
สาหร่ายนี้มีคนเคยรายงานมาแล้ว
เพียงแต่อาจารย์ลืมเช็คก่อนให้เราทำแลบ
เราเพิ่งมาเจอทีหลัง
ร้องไห้เป็นเผาเต่าไปร่วมอาทิตย์
ไม่รู้จะด่าใครดี เลยนั่งร้องไห้กินน้ำตาเค็มปะแล่มๆ
จริงๆน้ำตาก็ไม่ได้มีรสอร่อยนะ
แถมร้องไห้มากๆ จมูกตัน หายใจไม่ออกอีก

ตอนที่ผลแลบไม่ออก ฉันรู้สึกว่าตัวเองห่วยมาก
แย่มาก โง่มาก เหี้ยมาก เฮงซวยมาก
(และอาจารย์ก็คงคิดเช่นนั้น จากวจนะ และ อวจภาษา)

แต่อยู่ดีดี ฉันก็พบว่า ตอนนี้ตัวเองทำแลบแบบสบายใจมาก
ฉันอาจจะบูดนิดหน่อยเวลาอาจารย์แสดงอาการดูแคลน
แต่ลึกๆ เวลาอยู่คนเดียว ฉันสบายใจมาก
ผลแลบไม่ออกก็ช่างมัน
เพราะฉันไม่ได้ปล่อยให้มันครอบงำฉัน
ไม่ว่าผลแลบจะดีหรือเหี้ย ฉันก็ตัวเท่าเดิม
ยังมีหน้าตาเหมือนเดิม เสียงเหมือนเดิม
มีแม่คนเดิม พี่ชายคนเดิม มีเพื่อนสนิทคนเดิมๆ
ยังคงเป็นเหมือนเดิม
โลกของฉันไม่ได้หยุดหมุน ฟ้าไม่ได้ถล่ม ดินไม่ได้ทลาย
ผลแลบจะเปลี่ยนแปลงโลกของฉัน
เมื่อฉันปล่อยให้มันครอบงำและยอมให้มันเปลี่ยนแปลง
ฉันจะปล่อยให้ตัวเองเป็นทุกข์เพราะผลแลบหรือไม่เป็นก็ได้
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้ทันมัน
เฝ้าแต่คิดว่าเราไม่มีความสามารถ
เราโง่ เราห่วย
พอปล่อยให้ความคิดพวกนี้ครอบงำเรา
ก็จบแล้วล่ะ
เมื่อก่อนฉันไม่เคยมีความคิดเหล่านี้ในหัวเลยนะ
ไม่ได้อยากเป็นคนดี คนเก่ง
ตั้งแต่มาอยู่นี่ คนคาดหวังในตัวฉันกันเยอะ
มันยิ่งทำให้ฉันถูกครอบงำด้วยสิ่งที่ไม่รู้จัก
ฉันเลยเลิกฟังเสียงรอบข้าง
แล้วสนใจแต่งานของตัวเอง
เหมือนนักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลง
ก็ต้องฟังแต่เสียงของตัวโน๊ตที่ตัวเองบรรเลงอยู่
ถ้ามัวแต่ไปฟังเสียงเพลงอื่น
เพลงที่ตัวเองกำลังเล่นอยู่ก็ล่มได้
เหมือนกับนักกายกรรมที่กำลังไต่บนเส้นเชือก
จะไปมัวแต่มองคนดูน่ะไม่ได้
ต้องมองเท้าของตัวเองที่ยืนอยู่บนเส้นเชือก
วินาทีนั้นไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการยืนบนเส้นเชือกอีกแล้ว
ไม่ว่าจะมีดวงตานับหมื่นคู่
หรือไม่มีใครมองอยู่เลย
การเดินบนเส้นเชือกก็ต้องสำคัญที่สุด
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านั้น

ยอมรับจริงๆว่าได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากการมาอยู่ที่นี่
ยิ่งได้นั่งนิ่งๆ อยู่ตัวคนเดียว ยิ่งได้คิด ได้เจออะไรที่ไม่เคยเจอ
โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ในใจ
โน๊ตนี้เขียนไว้เพื่อเรียบเรียงความคิดและเตือนสติตัวเองให้มากๆ
ว่าอย่าปล่อยให้อะไรมันมาครอบงำเรา
ต้องสังเกตดีดี
เพราะบางทีมันอาจจะมาในรูปแบบที่เราไม่ทันสังเกต
กว่าจะรู้ตัวก็ปวดหัวตามไปกับมันเสียแล้ว
[ช่วงนี้ไม่กินคาเฟอีน เครื่องดื่มบำรุงกำลัง อาหารเสริมลดความเครียด แล้ว
มีความสบายใจมากๆ :) ]

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บอลลูน

คล้ายๆรอยแผลของบอลลูน
ที่ค่อยๆเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ
คล้ายๆรอยรั่วของลำเรือ
ที่ค่อยๆมีน้ำรั่วซึมเข้ามา
คล้ายๆกับวงของเชื้อราบนใบอ่อน
ที่ค่อยๆขยายตัวเองออกไปจนเต็มต้น
เรื่องบางอย่าง
หากไม่รีบจัดการ
นอกจากเวลาจะไม่ช่วยให้มันดีขึ้น
มันกลับทำให้ปัญหาขยายออกไป
จนบางที เมื่อเวลาหนึ่งมาถึง
ปัญหานั้นก็จะเลยไปถึงจุดที่ไม่อาจจะแก้ได้อีก

เวลาไม่สามารถเยียวยาทุกปัญหาได้ด้วยตัวมันเองหรอก..

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คว้า

สิ่งที่ฉันคว้าได้คือเงาหรือวัตถุ
มันเบาบางและไม่ชัดเจนเสียจน
ฉันคิดจะปล่อยมันไป
และให้อิสระแก่ตัวเองเสียที

ฮือ

กลับมานั่งดูที่เคยนั่งจดๆไว้
ลืมหมดแล้ว ลืมหมดเลย.. Y_Y
การเรียนภาษานั้นต้องต่อเนื่องนะเออ... ฮืออ..

แต่เราจะไม่ยอมแพ้
รู้สึกเหมือนตัวขี้เกียจมันหมักหมมจนกลายเป็นเชื้ออะไรสักอย่างที่จุดไฟได้
(หมายความว่า ขี้เกียจจนมาถึงระดับหนึ่้ง จนทนตัวเองไม่ไหว เลยต้องไฟลุกบ้าง)

อืม แล้วจะเขียนให้มันยากทำไมหว่า?!? 555+

ความเศร้า

ในเวลาเศร้า ก็มีแต่เราที่เปียกปอน
ไม่ว่าเราจะตะโกนบอกใครยังไง
ก็ไม่มีใครเปียกเท่ากับคนที่ฝนตกรดหัวหรอก
รีบๆออกมาจากเมฆฝนได้แล้ว
ถ้ามันเศร้านักก็เดินจากมา
แล้วก็ไม่ต้องกลับไปอีก
ไม่ต้องมองหาความเข้าใจในคนอื่น
เราเข้าใจในตัวเราเองเป็นพอ

ย้ายกลับมาอยู่นี่..

ฉันชอบอ่านบลอกและชอบการเขียนบลอกมากกว่า
แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าอัพเดททุกอย่างลง FB
ซึ่งทำให้การเขียนบลอกเป็นเรื่องที่ยากเย็น
เพราะกลายเป็นชินกับการเขียนอะไรสั้นๆ ไม่ต้องคิดมาก
แล้วก็พูดคุยเจ๊าะแจ๊ะจอแจขำๆไปเรื่อย
ซึ่งผิดกับธรรมชาติของฉันมากๆ
ฉัีนเป็นคนชอบการสื่อสารแบบตัวต่อตัว
หรือในกลุ่มเล็กๆ
คุยกันให้ได้อรรถรสมากกว่าที่จะตะโกนโหวกเหวกคุยกับคนมากมาย
(แต่ก็ตะโกนคุยกับชาวบ้านบ่อยๆในFB)
สงสัยเป็นเพราะมีไอดอลในFBเยอะ
เลยติดซะงอมแงม
แต่ต้องปรับปรุงแล้วแหล่ะ
รู้สึกว่าถึงเวลาที่เราต้องสนใจเรื่องของตัวเอง
ทำงานของตัวเองให้มันดี
พัฒนาตัวเองในสิ่งที่อยากจะทำ

เรารู้สึกว่า เราน่าจะเอาเวลาเล่นFB มาทำสิ่งที่อยากทำต่อมานาน
นั่นคือฝึกภาษาญี่ปุ่น
เราเลยคิดว่าต่อๆไป คงจะจำกัดเวลาเล่นFB จะได้เหลือเวลาไปทำอย่างอื่น
เช่นอ่านเปเปอร์ ทำงาน และฝึกภาษาญี่ปุ่น
เราจะมีความสุขมากที่ได้เห็นตัวเองพัฒนาทุกวัน
เหมือนเวลาที่เราเดินผ่านหลักไมล์มาได้
ไม่ต้องเดินแข่งกับใคร แค่หันหลังไปเห็นภาพตัวเองของเมื่อวานก็ชื่นใจ
ว่าวันนี้เดินได้ไกลกว่าเมื่อวานแล้ว
และพรุ่งนี้ก็น่าจะเดินได้ไกลกว่าวันนี้ด้วย
เอ้า.. สู้เว้ยเฮ้ยย... ^ ^Y