วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ป่วย

ป่วยกายไม่เท่ากับป่วยใจ
แต่ป่วยอะไรก็ไม่เท่ากูป่วย
เพราะถ้า"กู"ไม่มี
การป่วยก็เป็นแค่ความผิดปกติของชีววัตถุเท่านั้น


-------------------------------------------------
ตื่นมากลางดึก คิดว่าจะมานั่งพิมพ์งานเงียบๆ
แต่ก็คลื่นไส้อาเจียนไปสองรอบ
ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้กินข้าวเย็นติดกันมาหลายวัน
หรืออาหารเป็นพิษ (ไม่น่าใช่ เพราะอุ่นอาหารของเมื่อเช้า ตอนเช้ายังปกติอยู่)
หรือเครียดติดพัน เพราะช่วงที่พิมพ์ research proposal เมื่อต้นปี
ก็คลื่นไส้อาเจียนอาหารไม่ย่อยเป็นเดือนๆ

วันนี้นั่งอาเจียนเสร็จก็บ่น กูจะตาย
แล้วก็ เอ๊ะ... วันนี้เพิ่งฟังเทศน์ไป ว่ากูไม่มี ของกูไม่มีนี่นะ
ร่างกายเจ็บป่วยได้ แต่ไม่ต้องเอาใจไปรับมัน
มองมันเหมือนมองอาการป่วยทั่วๆไป
ไม่ได้มองว่าเป็นอาการป่วย"ของกู"

งานวิจัยที่ทำอยู่ก็ไม่ใช่ งานของกู
เพราะอีกร้อยปี ไม่มีกู ไม่มีอะไรทั้งนั้น
มีแค่ความรู้ที่เหลือไว้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
ทำไปเพื่อหน้าที่ ไม่ต้องทำเพื่อดี เด่น ดัง
ร่ำรวยเงินทอง หรือ โด่งดังมีชื่อเสียง

ถ้าจะบอกว่า เครียดเรื่องงาน ก็เพราะยึดติด
คิดว่า กูไม่จบแน่ กูโง่ กูตายแน่!
ความกดดันมันเยอะ แล้วก็ กูเนี่ยแหล่ะกดดันตัวกูเองล้วนๆ
ช่วงม.ปลายกับมหาลัยไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน
คงเพราะไม่เคยคิดว่า ถ้าฉันเรียนไม่จบ จะต้องอย่างนั้น อย่างนี้แน่เลย
ตอนนี้พยายามสลัดไปทีละอย่าง เหมือนค่อยๆปลิดกลีบดอกไม้
พยายามออกมาจากสังคม อยู่ตัวคนเดียว พยายามมองอะไรให้ชัดขึ้น

การเขียนบันทึกมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ
เวลาเราเขียน เราจะคิดเรื่องเดียว ไปที่จุดๆเดียว
ก็จะทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆในหัวได้ดีขึ้น

ปล.รู้สึกว่าอยู่ต่างประเทศแล้วจิตตกบ่อยจริงๆนะ ไม่รู้ว่าทำไม 555++

2 ความคิดเห็น:

paakeng กล่าวว่า...

ป้าก็ชอบเขียนไดอารี่นะ เขียนตั้งแต่มีลูก ก็เลยติดพันเขียนมาเรื่อยๆ ใช่อย่างที่คุณณัฐว่าจริงๆ เขียนแล้ว เราได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดทบทวน เป็น writing therapy เนอะ

Unknown กล่าวว่า...

:D ส่วนมากหนูเขียนลงบลอกมากกว่าไดอารี่เล่มๆค่ะ
เคยแว๊บไปดูสเปซของป้าเก๋งเหมือนกันค่ะ
หนูว่าเวลาที่แม่เขียนเรื่องของลูก แล้วพอลูกโตๆกลับมาอ่านเรื่องที่ตัวเองทำไว้เด็กๆ มันน่ารักดีนะคะ :D