วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อคติ

อคติปิดตาฉัน
เปลี่ยนสีขาวเป็นดำ
เปลี่ยนฟ้ากว้างเป็นกรงขัีง
เปลี่ยนความหวังเป็นความเศร้า
ยกความเขลาให้ผู้อื่น
ยกความชื่นให้พวกเรา
สิ่งยุติธรรมไม่มีในโลก
เพราะหากเป็นผลดีต่อฉัน
มันก็ยุติธรรมต่อฉัน
หากไม่เป็นผลดีต่อฉัน
ฉันก็จะบอกว่าโลกนี้ลำเอียง
แต่ฉันลืมไปว่า
โลกนี้ไม่เคยสนใจ
คำพิพากษาของใคร
มันยังคงหมุนต่อไป
ตามครรลองของมัน

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รีวิว#2

ช่วงนี้คงต้องพักวาดรูป เพราะไม่มีอะไรในหัวเท่าไหร่
คือก็คิดๆอะไรได้บ้างนะ แต่พอจะวาดเป็นภาพ
ก็จะรู้สึกว่า มันต้องผ่านกระบวนการคิดมากกว่านี้
เลยจดๆไอเดียทิ้งๆไว้
รู้สึกเหมือนกับกำลังต้องการ input อย่างแรง

เมื่อวานยืมหนังสือมาสองเล่ม
เล่มแรกของ Stephen Micheal King
เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อที่ชอบกล่องกระดาษ
เขาไม่เคยบอกรักลูกชาย
แต่ประดิษฐ์สิ่งต่างๆจากกล่อง
เพื่อนแทนคำว่ารัก
(นี่มันนิยายโรแมนติกป่ะเนี่ย????)
อ่านแล้วก็แบบว่า แอร๊ย..
คือเนื้อเรื่องมันไม่ได้ซับซ้อน
แต่มันมีความแตกต่างระหว่างเรื่องอบอุ่นกับเรื่องน้ำเน่า

ลายเส้นของเล่มนี้ไม่ได้ฮะเมี๊ยวเหมือนเล่มอื่นๆ
http://www.stephenmichaelking.com/books.html
เราชอบเล่ม You มากๆ
เพราะแค่คาแรคเตอร์บนกระดาษขาวๆก็กินขาด
ส่วนเล่มนี้ใช้เทคนิคสีน้ำแล้วต้ัดเส้นลงเงาด้วยปากกาดำ
แล้วสีที่ใช้ก็ค่อนข้างเข้มและสด
(ส่วนเล่ม You สีสด แต่สดแบบลูกกวาดอ่ะ)

ส่วนอีกเล่ม
คนเขียนกับคนวาดภาพประกอบเป็นคนละคนกัน
ดูที่ตัวเรื่องกันก่อน
เรื่องเกี่ยวกับว่า โนอาห์จริงๆแล้วมีน้องชาย
ที่เรียนแล้วโง่ ทำอะไรก็ไม่ฉลาด
แต่โนอาห์ฉลาดมาก
พอโตไปโนอาห์ได้ทำงานบริษัทใหญ่
อ้วนลงพุง วันๆกินแต่เนื้อ
ส่วนน้องชายปลูกผักสวนครัวเป็นมังสวิรัติ
(เนื้อเรื่องโคตรเหนือจริง)
วันหนึ่งโนอาห์มาบอกนีล(น้องชาย)ว่า
น้ำจะท่วมโลก ให้เตรียมข้าวของ
นีลก็เลยเอาดินมาลงอ่างอาบน้ำแล้ว
เอาเมล็ดพันธุ์มาเพาะ
แล้วก็ไปบอกลาพี่ชายที่ขนสัตว์ขึ้นไปเป็นอาหาร
จากนั้นเขาก็ลอยเรือมาสี่สิบวันสี่สิบคืน
(เชรี่ย.. )
จนเช้าวันที่สี่สิบเอ็ด ฝนหยุดตก
เขาก็รู้สึกว่าเรือตัวเองเจอแผ่นดิน
เขาเปิดหลังคาเรือออก แล้วเอาต้นผักอ่อนๆออกปลูก
หลังจากนอนใต้ต้นมะกอกที่เขาปลูกเอง
เขาก็ยื่นกิ่งมะกอกอ่อนให้นกของโนอาห์
ให้คาบไปบอกพี่ชายว่านีลยังมีชีวิตอยู่
(ห๊ะ????)
เออ ตามนั้นแหล่ะ
เรื่องโคตรเซอร์
เซอร์แบบว่า เมิงคะ นี่นิทานเด็กจริงๆหรอคะ
ชีวจิตอะไรเนี่ย ~_~
คืออ่านๆมันก็หนุกๆนะ
แต่ลึกซึ้งไปป่ะ
แบบนี่หนังสือให้เด็กสี่ห้าขวบอ่านนะ 55555++

ส่วนตัวอาร์ต เป็นภาพตัดปะ แล้วใช้ดินสอตัดเส้น
ใช้สี soft pastel ตกแต่งในบางรูป
สะอาดและสวยดี
ให้อารมณ์แบบนักทำภาพประกอบนิตยสาร
มาทำหนังสือเด็ก
(เราไม่ได้เช็คประวัติคนแต่งกับคนทำภาพเพราะรูปมันไม่เมี๊ยวพอ)

แต่นั่นแหล่ะ นี่มันหนังสือเด็กห้าขวบจริงๆหรอ 5555++

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รีวิวหนังสือเด็ก

เรื่อง George Flies South โดย Simon James
http://www.simonjamesbooks.com/#

เป็นเรื่องของจอร์จ นกน้อยที่ไม่ยอมหัดบิน
พอแม่ออกไปหาอาหาร รังของจอร์จปลิวไปตามที่ต่างๆ
จนในที่สุดรังก็หลุดร่วงไป
จอร์จเลยต้องหัดบิน


ลายเส้นฮะเมี๊ยวงุกงิก ใช้ปากกาสีดำตัดเส้นและใช้สีน้ำ
(ตามรูปในเวบเล้ย)
เราชอบสีบรรยากาศของภาพ
เค้าใช้สีไม่เยอะ เป็นสีโทนเย็น ตัดด้วยสีน้ำตาลและเหลือง
(เพราะเป็นเรื่องราวช่วงปลายใบไม้ร่วง)
ส่วนตัวคุณนกก็งุกงิกบ๊องแบ๊ว
composition กับ มุมมองของฉากบางฉาก
เช่นฉากที่จอร์จกำลังตกลงไปบนถนนก็สวย
สรุปว่างุงิน่ารัก

อีกเรื่องหนึ่ง
Imogene's Antlers by David Small
เป็นเรื่องของ Imogene ที่เช้าขึ้นมาก็มีเขากวางงอกออกมาที่หัว
เทคนิคเป็นสีน้ำ แล้วแรเงาด้วยสีำไม้ ตัดเส้นด้วยดินสอดำ
ลายเส้นพลิ้วมาก มีความเคลื่อนไหว มีรายละเอียดของตัวละครและฉาก
(คือฉากจะสีจางกว่าตัวละครเล็กน้อย และตัดเส้นบางกว่า)
สีสันของเล่มนี้สดใสซาบซ่าน
และตัวภาพสัมพันธ์กับเรื่องราวมาก(มากๆๆๆ)
อ่านแล้วรู้สึกลุ้นตามทุกหน้าเลย
เป็นเรื่องที่สนุกมากๆเรื่องนึงเลยล่ะ
(คือรู้สึกเหมือนเนื้อหาไม่มีอะไร แต่มีสเน่ห์บางอย่างให้เปิดอ่านอีกหลายๆรอบ

http://en.wikipedia.org/wiki/David_Small

จบที่ยืมมาของเมื่อวานนี้แล้ว :D

พบแล้ว!

วันนี้หลังจากพลิกดูหนังสือที่ยืมมา
เราก็พบแล้วว่าทำไมเราถึงรู้สึกว่ารูปเรามันขาดๆ

สิ่งที่ขาดก็คือ "ความเคลื่อนไหว"
(รูปที่ไหนมันเคลื่อนได้วะ?)

เวลาดูหนังสือเด็ก เราจะรู้สึกได้ว่ารูปมันเคลื่อนไหว มันมีชีวิต
ยิ่งนักวาดเก่งๆ ยิ่งวาดให้มันมีชีวิต
และสอดคล้องกับเรื่องราว
วันนี้ยืมหนังสือมาเพิ่มอีกสองเล่ม
เป็นนักวาดที่เจ๋งทั้งคู่เลย
คาแรคเตอร์มันดูอิสระและเคลื่อนไหวได้

คิดๆดูแล้วก็เหมือนการแสดงนะ
แบบว่าวาดแข็งๆก็เหมือนดูละครที่นักแสดงเล่นแข็ง
ฉา่กก็มีส่วนสำคัญ
คือทุกอย่างต้องปรองดองกัน -_-''
(ของอิฉันยังเป็นมะม่วงดองอยู่)


อ้อ ทดไว้ๆ
วันก่อนยืมเรื่อง Sarah's heavy heart ของ Peter Carnavas มา
ส่วนนี่คือบลอกของสำนัีกพิมพ์
http://newfrontierpublishing.blogspot.com/
และเวบของสำนักพิมพ์
http://www.newfrontier.com.au/home.htm
แล้วก็บลอกนี้ (Children's Book Illustrators - A Showcase)
http://cbishowcase.blogspot.com/

แล้วก็เวบไซต์รีวิวหนังสือเด็ก
http://www.aussiereviews.com/


นี่เป็นสาเหตุที่เราศึกษาตอนอยู่ที่นี่
เพราะแหล่งข้อมูลมันเยอะ *o*
โฮะ โฮะ โฮะ.. ขอให้หนูอย่าขี้เกียจหนีไปกลิ้งๆอยู่บนเตียงเฉยๆเลย :P

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปัจจุบันสำคัญสุด

วันก็เลื่อน เดือนก็หนี ปีก็ผ่าน
อดีตกาล มิหวนกลับ ลี้หลับใหล
อนาคต คงคดงอ อีกต่อไป
จงปรับใจ เจนจัด กับปัจจุบัน


อรุณรุ่ง เหน็บหนาว มิยาวนัก
เดี๋ยวก็จัก เป็นยามสาย มาผายผัน
แล้วก็เปลี่ยน ยามสาย เป็นบ่ายครัน
มิช้าพลัน ตะวันรอน อ่อนอัสดง


เป็นความมืด มิยืดยาว ชั่วคราวหนึ่ง
ต่อนั้นจึง เป็นความสว่าง กระจ่างหน
ประเดี๋ยวมืด ประเดี๋ยวสว่าง อย่างเยียบยล
ทุกผู้คน สัมผัสเห็น มิเว้นวัน


พระอาทิตย์ จรัสแสง แจ่มแจ้งฟ้า
ส่องโลกหล้า พ้นทุกข์ เป็นสุขสันต์
เป็นหน้าที่ เที่ยงตรง คงกระพัน
เป็นกิจวัตร ประจำวัน มิเว้นวาง


สิ่งสูงสุด มนุษย์ล้วน ควรสำนึก
จงเร่งฝึก ศึกษา ยามฟ้าสาง
เราเรียนโลก เรียนชีวิต ทุกทิศทาง
จะหนาบาง จะหนักเบา เราต้องทน


วันก็เลื่อน เดือนก็หนี ปีก็ผ่าน
อดีตกาล มิหวนกลับ อย่าสับสน
อนาคต ภายหน้า อย่าจำนน
จงเป็นคน ปัจจุบัน สุขสันต์เทอญ

via http://www.baanklon.com/index.php?topic=728.0

Follow me : Tricia Tusa



วันก่อนไปยืมเล่มนี้มา
ชอบอาร์ตเค้ามากเลย
เค้าใช้ oil pastels แล้วก็ตัดเส้นด้วยสีน้ำตาล
แต่ดูไม่ออกว่าใช้อะไรตัดเส้น เหมือนจะเป็นปากกาหมึกซึม
แต่ก็ไม่น่าใช้เพราะถ้าสีเป็นน้ำมัน
ปากกาหมึกซึมน่าจะใช้ไม่ติด .. -_-' งง

เราพยายามหาเวบไซต์ของนักเขียน+วาด
แต่ไม่มี ก็เลยค้นๆไปเจอเวบนี้เข้า

เลยทำให้รู้ว่าเค้าวาดยังไงในที่สุด
เย่.. (งงตั้งนาน ฮ่าๆๆ)

เวบนี้มีสัมภาษณ์นักวาดภาพมากมาย *_*~

แล้วก็ไปเจองานน่ารักๆ ดูแล้วก็อร๊ายอร๊ายย.. >////<
5555++


----------------------

ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากอาหาร แต่หิว
ก็พยายามกินนะ เพราะไม่อยากปวดท้องกระเพาะ
ไม่รู้ว่าการมาอยู่ประเทศพัฒนาแล้ว
คุณภาพชีวิต(ของเรา)ดีขึ้นหรือแย่ลง
รู้สึกเหมือนตัวเองจะกิน
อะไรก็ได้ที่กระเพาะมนุษย์ทั่วไปย่อยได้
(ซึ่งอาหารบางอย่างข้าพเจ้าก็แพ้
แต่รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง)
สับสนสิ้นดีกับโรคเครียดและการแพ้อาหาร
คือไม่รู้อะไรมันไปกระตุ้นอาการบีบตัวของกระเพาะ
~_~

----------------

ตอนนี้พยายามทำแลบนะ
แต่ขี้เกี๊ยดขี้เกียจ 555++
รู้สึกเหมือนตัวเองขึ้นเขามาตรงกลางเขา
แล้วกำลังนั่งหายใจหอบๆ
คือ กลิ้งลงไปคงตาย
ปีนขึ้นไปก็ไม่มีแรง
กำลังคิดจะนอนตายอยู่แถวนี้
แต่ดูท่าทางจะไม่ได้รับอนุญาติให้ทำเช่นนั้น
ก็คงจะคลานๆไปอ่ะนะ :P

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โทรศัพท์

วันนี้โทรไปเล่าให้แม่ฟัง ว่าจะลดเล่นโซเชี่ยวเนทเวิร์ค
แล้วหันมาจริงจังกับการศึกษาหนังสือภาพ
แม่บอกว่าดีแล้ว คนเราควรทำอะไรด้วยความตั้งใจจริง
มีคนมากมายในโลกที่ไปไม่ถึงจุดหมาย
เพราะเขาละทิ้งความพยายาม
แม่พูดหลายๆอย่าง
เราฟังไปแล้วก็น้ำตาไหล
แม่บอกว่าในชีวิตแม่
แม่ทำดีที่สุดแล้ว
ก็มีเรื่องที่เสียใจในชีวิตอยู่สองสามเรื่อง
แต่เราก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้แล้ว
ได้แต่นั่งเสียดาย
แม่บอกว่าให้เราทำให้เต็มที่
ตอนที่มีโอกาสอยู่ออสเตรเลียนี่
(เพราะบอกแม่ว่าที่นี่หนังสือเด็กในห้องสมุดมันเยอะ ยืมก็ฟรี)
เวลากลับไป จะได้ไม่มานั่งเสียดาย
ว่าเอาเวลาไปทำอะไรซะหมด

แม่พูดอีกหลายๆอย่าง ให้กำลังใจเรา
ให้เราพยายามต่อไป
ยิ่งฟังยิ่งน้ำตาไหล
รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาจริงๆ
และไม่น่าเชื่อว่าแม่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้ขนาดนี้
ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนนะ
เราไม่ควรเสียเวลามานั่งเสียใจกับสิ่งที่ทำพลาดไป
แล้วก็นั่งกล่าวโทษตัวเอง



---


วันนี้เข้าห้องสมุดประชาชน เจอหนังสือของ Shaun Tan วางอยู่บนชั้น
เราเคยค้นๆเมื่อหลายๆอาทิตย์ก่อน แต่ไม่เจอ
จนอยู่ดีดีวันนี้มันก็มาอยู่บนชั้น
(คิดว่าคนคงเพิ่งเอามาคืน)
ก็เลยยืมมา
หนังสือของ Shaun เรื่อง The Arrival ถือเป็นแรงบันดาลใจให้เรา
คือเดินห้องสมุดเล่นๆ แล้วไปเจอหนังสือเล่มนี้วางอยู่
ก็เปิดดู แล้วเห็นว่ามันสวย มันน่าสนใจมาก
ก็เลยยืมไปอ่าน
หลังจากนั้นก็จะต้องเดินไปชั้นหนังสือเด็กทุกครั้งที่มีโอกาส
และคิดอยากวาดรูปให้สวยและกินใจอย่างนั้นบ้าง
ส่วนแรงบันดาลใจที่ทำให้เราเดินไปชั้นหนังสือเด็กวันนั้น
ก็คือพี่ปราย พันแสง มาเม้นท์รูปในเฟซบุคเรารูปหนี่ง
บอกให้เราไปหาหนังสือของจิมมี่ เลี่ยว มาอ่านเยอะๆ
แล้วให้หัดวาดให้มากๆ
แล้วก็มีพี่ๆอีกหลายคนที่บังเอิญผ่านตารูปในFBของเรา
เข้ามาบอกว่าชอบรูป
ขอบคุณมากๆนะคะ
เราเชื่อว่าถ้าเราพยายามไปเรื่อยๆ
เราคงจะทำได้
:)

:- )

เลือกอะไรก็ได้
ที่พอเรามองย้อนกลับมา
แล้วตัวเองไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง

ลิงก์


บางที

เมืออาทิตย์ที่แล้วเข้าห้องสมุดประชาชนของที่นี่
ก็เดินเข้าไปดูการ์ตูน แล้วก็เดินไปโซนหนังสือเด็ก
ตามปกติที่ชอบทำ
หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาดู
เป็นงานแนวrealistic คือวาดภาพเหมือนจริง
(ปกติหนังสือเด็ก ตัวอาร์ตจะมีหลายแนว)
แล้วทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนึงในคลาสวาดภาพประกอบหนังสือเด็ก
เราอ่านเรื่องที่เราเขียน(กลอนอันนั้น)ให้เธอและเพื่อนที่นั่งข้างๆเธอฟัง
แล้วก็เอาดราฟท์ที่เราวาดภาพให้เธอดู
เธอบอกว่า ขอให้แมนูสคริปส์ผ่าน
ถ้าหนังสือถูกตีพิมพ์ เธอจะซื้อเก็บไว้
แล้วบอกกับคนอื่นว่ารู้จักกับคนเขียน
ตอนที่นึกถึงเหตุการณ์นั้น
ตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
จนกระทั่งตอนนี้
รู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
ที่เราไม่ได้ develop งานนั้นต่อ
เพราะเรายังรู้สึกว่าภาพประกอบมันยังใช้ไม่ได้
ก็คือยังไม่ถูกใจเราไปเสียทั้งหมด
รู้สึกว่าต้องศึกษาให้มากกว่านี้
เวลาเปิดหนังสือเด็กดูก็จะรู้ว่า
งานเรายังไม่ถึง
แต่ก็ยังค้นไม่เจอว่าอะไรทำให้มันยังขาด
ส่วนสาเหตุที่รู้สึกเสียใจเพราะ
เราไม่รู้ว่าตัวเราที่ทุ่มเทเพื่องานมันหายไปไหน
ทำไมตอนนี้เราถึงจิตตกและเศร้าได้ง่ายขนาดนี้

เมื่อวานโทรศัพท์หาแม่เพราะมีเรื่องนิดหน่อย
แม่ก็คุยเรื่องต่างๆให้กำลังใจเราเรื่องเรียน
เราดีใจนะที่แม่เปลี่ยนไปมาก
ไม่ห้ามสักคำเรื่องที่เราไปเรียนศิลปะ
แม่บอกว่าเชื่อในการตัดสินใจ
ทั้งๆที่เมื่อตอนม.ปลายแม่จะบ่นว่า
จะซื้อมาทำไมนักหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ
แต่เราก็พิสูจน์ว่าที่เราหัดมาทั้งหมด
มันไม่ใช่แค่ซื้อมาเปล่าๆ
มันมาเรามาไกลได้จริงๆ
แต่ตอนนี้เรากลับรู้สึกว่า
ความมุ่งมั่นแบบเดียวกับที่เราอ่านภาษาอังกฤษตอนนั้นหายไปไหน

วันนี้คุยกับพี่อ้วน(เจ้าของร้าน) ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยกับพี่ธี
เราแค่บอกว่าเราชอบทำอะไรหลายๆอย่าง
พี่เค้าทั้งสองคนก็พูดเหมือนกัน(แต่คนละเวลา)
ว่าคนเราก็ควรจะทำสิ่งที่เป็นอาชีพให้เก่งที่สุด
แต่ถ้าเรารักของสองอย่างพร้อมๆกัน
เราจะทำไม่ได้หรือ
เรามานั่งคิดว่า
เราควรต้องรอเวลา หรือละทิ้งชีวิตส่วนตัวไป
เราไม่ได้อยากประสบความสำเร็จ
แต่เสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งที่คิดอยากทำ
พิมพ์มาตอนนี้ก็พอจะได้คำตอบเลาๆแล้ว
เหลือแต่ว่าจะตัดสินใจทำตามสิ่งที่ตัวเองตอบหรือเปล่า
บางทีคืนนี้หลับไป แล้วพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาอาจจะมีคำตอบ
บางทีนะ..