วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อีกแล้ว

วันนี้ได้อีเมล์จากรีวิวเว่อร์มา
ยังไม่ได้เปิดอ่าน
แต่เรนโบส่งอีเมล์มา(ทางจีเมล์)
คร่าวๆคือ manuscript ที่ส่งไป
ต้อง generate seq เพิ่ม
เพราะไม่รู้ว่าใช้ตัวอย่างไหนมาทำ
ประเด็นคือเฟรดเป็นคนสกัดดีเอ็นเอ
แล้วเลเบลให้เราแค่ว่า
Pseudocodium แล้วก็บอกว่า ล้างครั้งที่หนึ่งกับสอง
แต่ไม่ได้บอกว่ามาจากตัวอย่างไหน
สรุปว่า ต้อง generate seq ใหม่
ซึ่งเรนโบก็ช่วยดี จอห์น (อาจารย์ของเรนโบที่ WA)
ก็อีเมล์บอกว่า ถ้าณัฐนันท์ไม่ทำ Morphology แล้ว
ก็ส่งตัวอย่างมาให้ John ก็ได้นะ
ตอนนี้เรากำลังร้องไห้อยู่
แบบว่า.. เฟรดสะเพร่าอีกแล้วล่ะ
คราวที่แล้ว ให้เราทำ Penicillus
เราทำเป็นเดือนๆ เพิ่งมารู้ว่า
เป็นสาหร่ายที่เคยมีรายงานมาก่อนแล้ว
ทั้งๆที่เฟรดสามารถ direct ให้เราทำ Morphology
ก่อนก็ได้ แต่เค้าสั่งสกัดดีเอ็นเอเลย
ตอนนั้นร้องไห้เป็นเผาเต่าเลย
แบบว่า ทำแทบตาย ไม่ได้อะไรเลย
คือเรายอมรับว่าเราไม่รู้
เราไม่อยากโทษเฟรดเลยนะ
แต่ทำไมไม่บอกเรา หรือทำไมสะเพร่าอย่างนี้
นี่มัน side project ซึ่งเราทำให้ฟรี
ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะต้องเสียเงินจ้างเค้าทำด้วยซ้ำ
ก็ถือว่าเราจะได้หัด
แต่ทำไมไม่ direct เราดีดีหน่อย
เราเสียเวลาทำเจ๊งเพราะเฟรดเยอะมากเลยนะ
ตั้งแต่สั่ง primer มาผิด
ปล่อยให้เราใช้ primer ผิด แล้วผลเจ๊งเป็นปีๆ
แล้วพูดเหมือนกับว่า เราโง่
ตอนที่เราเข้าไปถามแรกๆ ว่าต้องแก้ยังไง
ก็ไล่เราไปเปิดอ่านเปเปอร์
ทำไมบอกเราดีดีไม่ได้ล่ะ
ตอนนั้นเรนโบมาทำที่อะดิเลท
ก็แลบเฟลไปครึ่งปี
เพราะไพรเม่อร์ผิดๆของเฟรดนี่แหล่ะ
เหนื่อยมากเลยนะ
เราแบบว่า เออ กูโง่เองก็ได้
โง่ก็เลยผิด เสียค่าเวลาโง่
คือถ้าเราทำผิดเอง เราก็จะไม่ว่าเลยนะ
นี่แบบว่า.. อะไรเนี่ย
โอ๊ย..
มันก็จริงแหล่ะว่าเราแก้เค้าไม่ได้
ตอนนี้ต้องสู้ให้มากกว่าเดิม
บางทีก็อยากเล่าให้คนอื่นฟัง
แต่เล่าไม่ออก
มันเหมือนเล่าแล้วปัญหาก็ไม่ได้ดีขึ้น
จนแบบว่า..
เออ ไม่ต้องคิดแล้วว่าปัญหาเกิดจากอะไร
ตอนนี้ต้องแก้ๆลูกเดียว
hang in there นะณัฐนันท์
มันมีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปรึกษา

วันนี้อยู่ในโหมดไม่ไหวแล้ว ต้องการระบาย
ก็เลยโทรไปหาถ้วย
โทรไปเล่าให้ฟังเรื่องที่เราเป็นที่ปรึกษาคนอื่น
แล้วเหนื่อยเหลือเกิน
โทรไปเล่าเรื่องของตัวเอง
ซึ่งก็เหนื่อยใจไม่แพ้กัน
เรากะถ้วยมีความคิดตรงกันหลายๆอย่าง
เพื่อนเราบางคนบอกว่า
ให้ลองพิจารณาอีกที
แต่เรารู้สึกว่า
ของบางอย่างที่ทำลายสมาธิเรา
เราก็ต้องปล่อยไป
เราเคยเขียนบลอกอันหนึ่ง
ประมาณว่า
ถ้าไม่คิดจะบิน
ก็ทิ้งปีกเถอะ
ตอนนี้เราจะบิน
เราคงต้องทิ้งครีบทิ้งเกล็ด


เราคงจะคิดไม่เหมือนคนอื่น
เพราะถ้าเรารักใครสักคนมากๆ
เราจะไม่พูดจาอะไรให้เขาลำบากใจ
เราจะพูดตรงแต่ไม่กดดันเขา
เพราะเรารู้ว่าความสุขของเราก็คือการเห็นเขามีความสุข
เห็นเขาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เห็นเขาขยันและทำงานหนัก
พอเห็นเขามีความทุกข์ มีความเครียด
ก็อยากเป็นคนแรกๆที่ปลอบใจ
ตอนนี้เราไม่สบายใจทุกๆวันเลย
เราเลยมองว่า
เราคงเป็นคนคนละประเภทกัน
แล้วเราก็สงสัยว่า
ทำไมเราถึงทำให้ตัวเองไม่มีความสุขด้วย

เราถามถ้วยว่าถ้าถ้วยเป็นเรา
ถ้วยจะทำไง
ถ้วยก็บอกว่า ก็จะหายไปเฉยๆ
เราก็บอกถ้วยว่า
เราก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
แต่ยังไม่กล้าพอ
เราเกลียดที่จะทำให้คนอื่นไม่สบายใจ
แต่ถ้าเรากดดันมากๆจริงๆ
เราก็คงจะทำอย่างนั้น
แล้วเราก็ถามถ้วยว่า
ถ้าถ้วยเป็นอีกฝ่ายหนึ่งล่ะ
ถ้วยจะเอายังไง
ถ้วยก็บอกว่า
ถ้วยจะเข้ามาคุยกับเรา
เราก็บอกถ้วยว่า
เราก็คิดอย่างนั้น
คิดอย่างนั้นมานานแล้ว
แล้วมันยิ่งทำให้เราสงสัย
ว่าเราคิดตรงๆง่ายๆเกินไป
หรือว่าใครบางคนอาจจะใช้ชีวิตอยู่คนละคลื่นความถี่กับเรา
เราว่าเรามีเหตุผลและซื่อตรงต่อความรู้สึกมากๆเลยนะ
หรือว่าจริงๆแล้วเราไม่ควรจะทำเช่นนั้น
เราอาจจะใจดีเกินไปก็ได้


ถ้วยก็เล่าให้ฟังเรีื่องแฟนมัน
แอบไปคุยอี๋อ๋อกับสาว
แล้วมันไปแอบอ่าน
มันบอกว่า อ่านแล้วจี๊ดเลย
ส่งแมสเซสไปเคลียร์ทันที
แต่แฟนมันแม่มดันอ้างโน่นอ้างนี่
จนโดนโกรธนั่นแหล่ะ
ก็พูดไปตรงๆว่าไม่มีอะไรแต่แรกก็หมดเรื่อง
แอบสมน้ำหน้า
ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากๆก็ไม่รู้
สงสัยจะว่างงานจัดไม่มีอะไรทำ

เห้อ....

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

could you leave me with a scar?

He left a card and a bar of soap with
scrubbing brush next to a note,
That said "use these down to your bones".
And before I knew I had shiny skin and
it felt easy being clean like him,
I thought "this one knows better than I do"

A triangle trying to squeeze through a circle
He tried to cut me so I'd fit

And doesn't that sound familiar?
Doesn't that hit too close to home?
Doesn't that make you shiver; the way things could've gone?
And doesn't it feel peculiar that everyone wants a little more. So that I do remember to never go that far,
Could you leave me with a scar ah-ah?

So the next one came with a bag of treats,
She smelled like sugar and spoke like the sea
She told me don't, trust them trust me.
Then she pulled at my stitches one by one,
Looked at my insides clicking her tongue,

And said "This will all have to come undone".

A triangle trying to squeeze through a circle,
She tried to blunt me so I'd fit.

And doesn't that sound familiar?
Doesn't that hit too close to home?
Doesn't that make you shiver;
the way things could have gone?
And doesn't it feel peculiar,
that everyone wants a little more?
So that I do remember to never go that far,
Could you leave me with a scar?

I think I realized just in time,
about my old self was hard to find.
You can bathe me in your finest wine but I'll never give you mine.
'Cos I'm a little bit tired of fearing that
I'll be the bad fruit nobody buys,
Tell me, did you think we'd all dream the same?

And doesn't that sound familiar?
Doesn't that hit too close to home?
Doesn't that make you shiver;
the way things could have gone?
And doesn't it feel peculiar
that everyone wants a little more?
so that I do remember to never go that far,
Could you leave me with a scar?
could you leave me with a scar? ah-ah-ah.

could you leave me with a scar?




ชอบเนื้อเพลงจัง

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เดินไปให้สุดทาง บางทีที่นั่นอาจจะมีคำตอบ

เคยคุยกะแทมมี
บอกว่าตอนนี้แม้จะไม่มีใคร
เราก็คงอยู่ได้
แทมมีบอกเราว่า
อยู่ได้น่ะมันอยู่ได้
แต่อยู่อย่างมีความสุขหรือเปล่า
เราตอบว่า
เราก็ไม่รู้
อาจจะดีกว่านี้
หรือแย่กว่านี้
แต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่


มันมีด้วยเหรอ
ของในโลกที่จะยืนยง
ไปมากกว่าความเปลี่ยนแปลง



ในเมื่อตัดสินใจแล้ว
หากไม่ทำตามที่ตัดสินใจ
เท่ากับไม่เคารพตัวเอง
เดินไปให้สุดทาง
บางทีที่นั่นอาจจะมีคำตอบ

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แป๊ะอารายเนี่ย

นั่งอ่านเปเปอร์นึง
เขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่องอย่างแรง
พอเลื่อนขึ้นไปดู
อ่าว คนเขียนอยู่เมกานี่
กลับไปอ่านอีกรอบ
ชิท... อ่านไม่รู้เรื่อง
เราอ่านอันอื่นรู้เรื่องนะ
แต่อันนี้ดูเหมือนจะเข้มคลั่ก
แบบต้องใช้สติสัมปชัญญะอย่างแรง
(ไม่มีสินะ)
เลยกลายเป็นว่า
ไม่อ่านมันแระ...

บางทีการพรีเซนต์ก็เป็นส่วนสำคัญของผลงาน
คำพูดที่ลึกซึ้งถ้าไม่เข้าถึงผู้ฟัง
ก็กลายเป็นคำพูดที่ลึกไปจนเอื้อมไม่ถึง

แต่ก็น่ากลัวอยู่ว่า
คนบางพวกถนัดแต่พรีเซนต์
พรีเซนต์จนดูดี
ทั้งๆที่ข้างในก็งั้นๆ
ในขณะที่ของดีดี
ที่ไม่ถูกพรีเซนต์
ก็ถูกทิ้งไว้อย่างไร้ค่า
เขาถึงว่าใช้ชีวิตต้องมีศิลปะ(บ้าง)
แต่ถ้ามีศิลปะมากไป
จะกลายเป็นสร้างภาพ

(ไม่ค่อยอินกะพวกสร้างภาพเท่าไหร่
พอได้รู้ความจริงแล้วเหมือนถูกหักหลังยังไงไม่รู้ว์)

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คนดี

คนดีก็มีข้อดีข้อเสียในแบบของคนดี
คนเลวก็มีข้อดีข้อเสียในแบบของคนเลว

ถ้ามองเห็นว่าสองบรรทัดข้างบนน่ะไม่จริง
แสดงว่าคุณกำลังมองโลกด้านเดียวอยู่หรือเปล่า

เพราะโลกไม่ได้มีแค่ดำกับขาว
แม้แต่เทายังมีหลายเฉดสี
นับประสาอะไรกับมนุษย์
ที่เปลี่ยนแปลงและแย้งย้อน
เรามีความยุติธรรมพอที่จะตัดสินใครต่อใครได้หรือ
เราเป็นผู้พิพากษามาจากศาลฎีกาหรืออย่างไร
เราถึงสามารถกำหนดโทษให้ใครต่อใครได้
คนที่เราบอกว่าดี เป็นเพราะเรารู้จักเขาแค่เพียงเสี้ยวเดียว
ส่วนคนที่เราคิดว่าเขาเลว เป็นเพราะเขาทำอะไรให้เราไม่พอใจ
ก็เป็นได้ทั้งนั้น

มิพักถึงการบอกว่าคนนี้ฉลาดหรือโง่
เคยได้ยินคำพูดที่ยกมาจากคำพูดของไอสไตน์
ประมาณว่า
ถ้าเราเอาทักษะปีนต้นไม้มาเป็นเกณท์วัดความฉลาด
ปลานี่จัดว่าโง่เลยนะ
เราว่าคนฉลาดกับคนโง่อาจจะไม่มี
มีแต่คนที่คิดกับไม่ยอมคิด
คนที่พยายามเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
หรือไหลไปกับกระแสของชีวิต
เราเชื่อว่าคนเราเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้
และกำลังพิสูจน์ความเชื่อนั้นอยู่
เราไม่ได้หวังจะเป็นคนดี
เพราะเราไม่มีทางเป็นคนดี
ในสายตาของคนทั้งโลกได้
มันต้องมีคนไม่พอใจ หมั่นไส้ หรือเข้าใจผิดเราได้

เพราะโลกเรามีหลายสี
ประสมปนเปกันไป
ไม่ว่าจะเกลียดสีไหน
มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีพ้น

/อาแมว

ชัด

ถ้ามองอะไรไม่ชัด
ให้ลองถอยมาไกลๆ
แล้วค่อยเดินเข้าไปเรื่อยๆ
เราจะค่อยๆมองเห็น
ว่าจุดที่ชัดที่สุดอยู่ตรงไหน

เรื่องนี้ใช้ได้ทั้งในการดูงานศิลปะ
การรักษาระยะของความสัมพันธ์
และการแก้ปัญหา

บ่อยครั้งที่เรามองปัญหาใหญ่เป็นปัญหาเล็ก
และให้ค่ากับปัญหาเล็กๆ ว่าใหญ่เท่าช้าง
ทำให้เราแก้ปัญหาผิดวิธีการ
หรือทำให้ปัญหามันขยายใหญ่โต
ถ้าเราลองมองปัญหาจากหลายๆมุม
หลายๆระยะ บางทีอาจจะพบว่ามันไม่ใช่ปัญหา
หรือปัญหานี้ไม่ยากหรอกที่จะจัดการ

ในความสัมพันธ์ก็เช่นกัน
คนบางคนก็อยู่ใกล้เราได้ในระดับหนึ่ง
เหมือนกับอะตอมของธาตุต่างๆ
ซึ่งมีขนาดของรัศมีจำเพาะ
ในการรวมตัวของอะตอมเกิดเป็นโมเลกุลของสารต่างๆ
จะมีระยะทางที่จำเพาะระหว่างอะตอม
หากไกลกันมากเกินไป
อะตอมสองอะตอมก็ไม่สามารถสร้างพันธะได้
แต่ถ้าใกล้กันเกินไป
ประจุบวกที่อยู่ตรงกลางก็จะผลักกัน
สองอะตอมนี้จะต้องมารวมตัวกัน
อยู่ในจุดที่พอดิบพอดี
ถึงจะเกิดเป็นโมเลกุลของสาร
เหมือนที่ไฮโดรเจร(ก๊าซ)มารวมตัวกับออกซิเจน(ก๊าซ)
แล้วเกิดเป็นน้ำ(ของเหลว)


บางทีการมองเห็นและเข้าใจอะไรสักอย่าง
คงไม่ใช่แค่การจ้องลงไปในสิ่งนั้นอย่างไม่ลดละ
แต่อาจจะเป็นการสังเกตไปรอบๆ
มองสิ่งนั้นในมุมต่างๆ
ทั้งจากทางไกลและใกล้
แล้วเราอาจจะเข้าใจธรรมชาติ
และมองเห็นความเป็นจริงได้ชัดเจนขึ้น

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

loose - tight

เวิ่นเว้อมาร่วมอาทิตย์ตั้งแต่กลับมา
จึงตัดสินใจว่า
จะเล่น FB แค่ช่วงเวลาเช้าอย่างเดียว
มันควรจะได้เวลาเร่งเครื่องแล้วเนอะ ^ ^'''
เร่งบ้างผ่อนบ้างตามอัธยาสัย

ตอนแรกเราว่าจะรีบจบ
แต่เห็นมีซิมโพเซียมที่บาหลีเดือนเมษาปีสองพันสิบสาม
แล้วก็มีที่ฟลอริดาปีสองพันสิบสาม เดือนไหนไม่ีรู้
ถ้ายังเป็นนศ.อยู่ จะได้ขอทุนเดินทางได้ง่ายๆ
เอาเป็นว่ารีบเรียนก่องละกัน
เผื่อแลบไม่ออก 555++







เฮ่อ.. ทำไมปวดท้อง ท้องเสียบ่อยขนาดนี้
แล้วก็ชอบป่วยเพราะไม่ได้ทำกินอาหารตัวเองด้วยนะ
แต่ก็ขี้เกียจปรุงอาหารเองมั่กๆ
เมื่อกลางวันก็ลงไปสลบบนเตียงเพราะท้องเสีย
เราว่าีร้านเบรดทอป สาขาในเมือง ต้องใส่อะไรแน่ๆ
ทำเราท้องเสียมาสองรอบแล้ว
ตอนแรกนึกว่าผวาไปเอง แต่เราว่าใช่ง่ะ

เห้ออ..

ฝัน

ฝันว่าฟันหลุดไปสี่ซี่ แต่ไม่ได้เจ็บอะไร
เค้าบอกว่าฝันไม่ดี
เฮ่อ.. น่าจะมีเลขประกอบการแทงหวย
:P

เคยมีเพื่อนอยู่คนนึง
ฝันเกี่ยวกับคนที่มันชอบ
แล้วเอามาตีความเป็นตุเป็นตะ
เล่าให้เราฟังเป็นชม.ๆ
เรานั่งฟังไปทำไมก็ไม่รู้
แล้วก็มานั่งจิตตกว่าเค้าจะอะไรยังไงกะมัน
สงสัยมันหวังว่าความฝันจะบอกอะไรมันได้บ้าง

แต่เราควบคุมความฝันไม่ได้นี่นะ
แล้วถึงเราจะตีความอะไรได้
แต่เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
ตามเงื่อนไขของเวลา
และความเป็นไปของสิ่งนั้นๆ
เราก็แค่ต้องทำใจยอมรับมัน
ก็เท่านั้นเอง
(แต่ตอนที่ต้องทำใจยอมรับ
มันไม่เท่านั้นเองอย่างที่พูดเท่าไหร่ใช่ไหม? 555)

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ครอบครัว

เราบอกกับเพื่อน
และเชื่อเองด้วยว่า
การแต่งงานอาจเป็นคนละเรื่องกับความรัก
จะมีคนโชคดีสักกี่คนที่ได้แต่งงานกับคนที่เรารัก
และรักเรา

เมื่อวานพี่ผู้หญิงเจ้าของร้านที่เราทำงานด้วย
เข้าร้านมาแล้วก็บอกว่า นัท วันนี้พี่อารมณ์ไม่ดีนะ
เราก็ค่ะๆ ได้แต่ยิ้มให้เฉยๆ ไม่ได้ถามอะไร
แล้วพี่เค้าก็บ่นว่าแฟนเค้าจะตัดกิ่งต้นไม้ที่เค้าปลูก
แล้วมีนกมาทำรังเต็มเลย
เค้าบอกว่า ถ้าตัดมีเลิกกัน
แล้วเค้าก็บ่นเม้งๆไปตามเรื่อง

พี่เค้าสองคนก็อยู่กันมาสิบสี่ิสิบห้าปีแล้ว
แต่รสนิยมหลายอย่างคนละเรื่องกันเลย
ตลกดีนะ ที่ก็อยู่ด้วยกันจนมีลูกเต้า
เราไม่ค่อยเข้าใจระบบความสัมพันธ์ของครอบครัวสักเท่าไหร่
เพราะโตมากับแม่สองคน
แม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน เลยหนักไปทางอยู่กับตัวเองบ่อยๆ
ซึ่งก็ทนตัวเองไม่ค่อยได้บ้างในบางครั้ง
จนบางทีนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าครอบครัวเป็นไง
บางครั้งเวลาไปเชงเม้งกับญาติๆ
ตัวเองก็งงๆ เพราะไม่รู้สึกสนิทกัน
ก็จะมาช่วงหลังๆ ที่เริ่มสนิทกับพี่ชาย
แล้วก็พี่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง
แต่ก็ยัง งงๆ ในตัวเองอยู่บางหน
เหมือนกับเวลานั่งเก้าอี้ลมอ่ะ
ไม่ได้วางใจหรือสนิทใจร้อยเปอร์เซนต์

พี่บอกว่า ตาเราเศร้าลึกๆ
สงสัยจริง
จริงที่ว่าการเลี้ยงดูมีผลต่อทัศนคติลึกๆ
แต่ก็นะ เราก็ไม่ได้บ่นโทษอะไรใครหรอก
ก็แค่รับรู้ว่า อ้อ เราเป็นอย่างนี้

เราบอกกับเพื่อนว่า
เราจะรักใครก็ได้
แต่บางทีจะแต่งงานกับใคร
มันต้องใช้อะไรที่มากกว่าความรัก
ทั้งสังคม กรอบประเพณี ความเชื่อ
เพราะบางทีการที่เรามาอยู่ร่วมกัน
มันมีผลกระทบมากกว่าคนแค่สองคน

เราเห็นมาหลายครั้ง ที่บิลค่าน้ำค่าไฟค่าผ่อนรถดาว์นบ้าน
ลูกที่ร้องกระจองงองแง รถติด น้ำท่วม
พ่อไม่สบาย แม่ยายป่วย
มันทำให้การแต่งงานมีอะไรที่มาก(ๆๆๆ)ไปกว่าความรัก

บางทีเราก็กลัว การอยู่กับคนนะ
(ตรงข้ามกับผู้หญิงส่วนใหญ่สินะ ที่กลัวจะอยู่คนเดียว)
ก็ตลกดี XD




วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฉันเป็นคนของที่นี่ เวลานี้

เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ยังบ่นอยากกลับบ้านอยู่เลย
แต่จู่ๆ ก็รู้สึกมีความสุขมากที่อยู่ที่นี่
รู้สึกว่าอยากทำงานนี้ อยากทำให้เสร็จ
มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่
เหมือนตอนเรียนม.ปลาย เรียนมหาลัย
มันไม่ใช่อาการไฟลุกเพราะแรงบันดาลใจ
เหมือนกับมองเห็นว่า
สิ่งที่ทำอยู่นี่ดีนะ ที่ที่เราอยู่ก็มีความสุข
เหมือนอยู่ในจุดที่พอใจในตัวเองมาก
ตอนที่เราแก้สไลด์สำหรับพรีเซนต์เสร็จ
แล้วรู้สึกพอใจกับสไลด์มาก
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับการที่ทำข้อสอบ
แล้วรู้คำตอบของคำถามนั้น
ตอนเราเรียน เวลาที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่ตอนบอกคะแนน
แต่เป็นตอนที่เราออกจากห้องสอบ
แล้วเขียนสิ่งที่อยากเขียนส่งลงบนกระดาษคำคอบแล้ว
ตอนที่ไม่ตั้งใจเรียน
มองช่องคำคอบที่ว่าง
มันทำให้รู้เลยว่าตัวเองว่างเปล่ายังไง
(คือไม่ได้รู้สึกว่ากลวงแค่ที่หัว
คือกลวงเปล่าไปทั้งตัวเลยก็ว่าได้)
จุดที่ดีที่สุดสำหรับเรา
ก็คือจุดที่เราพอใจ
ส่วนมากเวลาได้รู้ผลคะแนน
จะรู้สึกเฉยๆ ไม่ก็ตกใจว่าทำไมเพื่อนทำไม่ได้วะ -_-''
นานๆจะตื่นเต้นที น้อยมากๆเลยง่ะ :P
คงเพราะเราทำสิ่งที่ต้องทำเต็มที่แล้ว พอใจแล้ว
ก็จบ.. ไม่ต้องคาดหวังไร
ที่ผ่านมาเรากินความคาดหวังเป็นอาหาร
มันเลยไม่อยู่ในจุดที่อิ่มเสียที
เพราะเราสามารถหวังไกลกว่าสิ่งที่เราเป็นได้เสมอ
จำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
จู่จู่ก็กลายเป็นว่า กลับมาอยู่ในจุดที่พอใจ
อาจจะหลงไปกับสปอตไลท์อยู่พักใหญ่มั้ง

สิ่งที่ต้องทำตอนนี้
1 อะนาไลซ์ผลแลบ ในจุดที่สามารถนำลงตีพิมพ์ได้
2 ทำโปสเตอร์พรีเซนต์ช่วงสิ้นเดือนนี้
3 เขียน Manuscript ผลแลบให้เสร็จ ภายในสิ้นปีนี้

จะเห็นได้ว่า... งานเยอะเหี้ยๆค่ะ
และปีหน้า ต้องปิดอีกสองโปรเจกส์ ถ้ายังหวังจะจบสิ้นปีหน้า
(ไม่สิ ควรพูดว่า ถ้ายังหวังจะเรียนจบ แบบไม่ต้องนั่งเย็บเล่มวันก่อนกลับ)

(หรือที่ฉันกลับมาตั้งใจทำงาน เพราะสำเหนียกได้ว่าใกล้ม้วยแล้ว? ฮ่าๆๆ) XD

มองออกไป

เพื่อนเราอกหักและบ่นกับเราว่าไม่อยากทำอะไรอีกเลย
(ก็บ่นแบบคนอกหักบ่นนี่แหล่ะ)
เราก็ขอเพื่อนเราแค่ข้อเดียว
คือขอให้ดำเนินชีวิตตามปรกติ
ทำสิ่งที่ต้องทำ เข้าห้องเรียน ทำการบ้าน กินอาหาร
ไม่ว่าจะรู้สึกแย่แค่ไหน
ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
เหมือนเวลาที่เราไม่อยากลุกไปไหน
ในที่สุดเราก็ต้องเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ กินอาหาร
เพราะเรายังไม่ตาย
เราบอกเพื่อนว่า
อย่างน้อยตอนนี้เสียใจอยู่แล้ว
แต่ถ้าไม่ทำสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้
คราวนี้จะมีปัญหาที่แก้ไม่ตกตามมามากมาย
เพื่อนเราก็บ่นนิดหน่อยว่ามันไม่เข้มแข็งอย่างนั้น
เราก็บอกว่า ขอให้ลองทำ
บางที ในวันที่เราเศร้าสุดๆ
เราก็ต้องออกไปทำงาน
ออกไปทำสิ่งที่ต้องทำ
แม้จะเสียใจก็เก็บน้ำตาเอาไว้ข้างใน
แล้วเดี๋ยวเราจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น
เราบอกเพื่อนว่าเราลองมาหมดแล้ว
หมกตัวอยู่ในห้อง
ครุ่นคิด ถึงขั้นเกือบจิตหลุด
วิธีที่ดีที่สุดคือให้ออกมาเดิน
เดินข้างนอก
ทำสิ่งที่ต้องทำ

เพื่อนเราก็ยังดีที่ไม่ดื้อ
หลังจากโดนด่ากราดไป
ก็หันมากินข้าวบ้าง
(หลังจากมันไม่กินอะไรเลยสองวัน)
แล้วก็ออกไปเรียนอย่างที่โดนด่าให้ไปทำ
(ไอ้พวกนี้มันซาดิสม์แน่ๆ ชอบให้ด่า)

เมื่อสองวันก่อนเพื่อนเราก็โทรมา
เพื่อนเราบอกว่า ตอนที่มันเดินๆอยู่ข้างนอก
อยู่ดีดีก็คิดได้ว่า ที่ที่มันควรอยู่ก็คือที่นี่(หมายถึงที่ๆมันไปเรียน)
แล้วก็มีงานข้างหน้ารอให้มันทำตั้งมากมาย
(เราคิดว่า เพื่อนเราเริ่มคิดได้ แล้วเริ่มเสียดายเวลา
และสุขภาพจิต กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น)
เพราะตอนที่เราโทรศัพท์คุยกับมัน
เราบอกว่า เราอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
แต่พอออกไปเดินข้างนอก
จู่จู่ เราก็จะรู้สึกถึงชีวิต
รู้สึกว่า นี่แหล่ะคือชีวิต
คือการเดินไป และทำสิ่งที่ต้องทำ
อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
เหมือนจะเป็นการเปลี่ยนผ่านทัศนคติอะไรสักอย่าง
แล้วเราก็เหมือนตื่นขึ้นมา
แล้วเข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต

โลกนี้มันมีอะไรมากกว่าความรัก มากกว่าความสำเร็จ มากกว่าความโด่งดัง
อะไรสักอย่างที่มันจับต้องไม่ได้ เหมือนแสง..
มันจับต้องไม่ได้ แต่ส่องให้เห็นโลก
แล้วเราก็ยังคงเดินต่อไป.. และหายใจอยู่

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อคติ

อคติปิดตาฉัน
เปลี่ยนสีขาวเป็นดำ
เปลี่ยนฟ้ากว้างเป็นกรงขัีง
เปลี่ยนความหวังเป็นความเศร้า
ยกความเขลาให้ผู้อื่น
ยกความชื่นให้พวกเรา
สิ่งยุติธรรมไม่มีในโลก
เพราะหากเป็นผลดีต่อฉัน
มันก็ยุติธรรมต่อฉัน
หากไม่เป็นผลดีต่อฉัน
ฉันก็จะบอกว่าโลกนี้ลำเอียง
แต่ฉันลืมไปว่า
โลกนี้ไม่เคยสนใจ
คำพิพากษาของใคร
มันยังคงหมุนต่อไป
ตามครรลองของมัน

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รีวิว#2

ช่วงนี้คงต้องพักวาดรูป เพราะไม่มีอะไรในหัวเท่าไหร่
คือก็คิดๆอะไรได้บ้างนะ แต่พอจะวาดเป็นภาพ
ก็จะรู้สึกว่า มันต้องผ่านกระบวนการคิดมากกว่านี้
เลยจดๆไอเดียทิ้งๆไว้
รู้สึกเหมือนกับกำลังต้องการ input อย่างแรง

เมื่อวานยืมหนังสือมาสองเล่ม
เล่มแรกของ Stephen Micheal King
เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อที่ชอบกล่องกระดาษ
เขาไม่เคยบอกรักลูกชาย
แต่ประดิษฐ์สิ่งต่างๆจากกล่อง
เพื่อนแทนคำว่ารัก
(นี่มันนิยายโรแมนติกป่ะเนี่ย????)
อ่านแล้วก็แบบว่า แอร๊ย..
คือเนื้อเรื่องมันไม่ได้ซับซ้อน
แต่มันมีความแตกต่างระหว่างเรื่องอบอุ่นกับเรื่องน้ำเน่า

ลายเส้นของเล่มนี้ไม่ได้ฮะเมี๊ยวเหมือนเล่มอื่นๆ
http://www.stephenmichaelking.com/books.html
เราชอบเล่ม You มากๆ
เพราะแค่คาแรคเตอร์บนกระดาษขาวๆก็กินขาด
ส่วนเล่มนี้ใช้เทคนิคสีน้ำแล้วต้ัดเส้นลงเงาด้วยปากกาดำ
แล้วสีที่ใช้ก็ค่อนข้างเข้มและสด
(ส่วนเล่ม You สีสด แต่สดแบบลูกกวาดอ่ะ)

ส่วนอีกเล่ม
คนเขียนกับคนวาดภาพประกอบเป็นคนละคนกัน
ดูที่ตัวเรื่องกันก่อน
เรื่องเกี่ยวกับว่า โนอาห์จริงๆแล้วมีน้องชาย
ที่เรียนแล้วโง่ ทำอะไรก็ไม่ฉลาด
แต่โนอาห์ฉลาดมาก
พอโตไปโนอาห์ได้ทำงานบริษัทใหญ่
อ้วนลงพุง วันๆกินแต่เนื้อ
ส่วนน้องชายปลูกผักสวนครัวเป็นมังสวิรัติ
(เนื้อเรื่องโคตรเหนือจริง)
วันหนึ่งโนอาห์มาบอกนีล(น้องชาย)ว่า
น้ำจะท่วมโลก ให้เตรียมข้าวของ
นีลก็เลยเอาดินมาลงอ่างอาบน้ำแล้ว
เอาเมล็ดพันธุ์มาเพาะ
แล้วก็ไปบอกลาพี่ชายที่ขนสัตว์ขึ้นไปเป็นอาหาร
จากนั้นเขาก็ลอยเรือมาสี่สิบวันสี่สิบคืน
(เชรี่ย.. )
จนเช้าวันที่สี่สิบเอ็ด ฝนหยุดตก
เขาก็รู้สึกว่าเรือตัวเองเจอแผ่นดิน
เขาเปิดหลังคาเรือออก แล้วเอาต้นผักอ่อนๆออกปลูก
หลังจากนอนใต้ต้นมะกอกที่เขาปลูกเอง
เขาก็ยื่นกิ่งมะกอกอ่อนให้นกของโนอาห์
ให้คาบไปบอกพี่ชายว่านีลยังมีชีวิตอยู่
(ห๊ะ????)
เออ ตามนั้นแหล่ะ
เรื่องโคตรเซอร์
เซอร์แบบว่า เมิงคะ นี่นิทานเด็กจริงๆหรอคะ
ชีวจิตอะไรเนี่ย ~_~
คืออ่านๆมันก็หนุกๆนะ
แต่ลึกซึ้งไปป่ะ
แบบนี่หนังสือให้เด็กสี่ห้าขวบอ่านนะ 55555++

ส่วนตัวอาร์ต เป็นภาพตัดปะ แล้วใช้ดินสอตัดเส้น
ใช้สี soft pastel ตกแต่งในบางรูป
สะอาดและสวยดี
ให้อารมณ์แบบนักทำภาพประกอบนิตยสาร
มาทำหนังสือเด็ก
(เราไม่ได้เช็คประวัติคนแต่งกับคนทำภาพเพราะรูปมันไม่เมี๊ยวพอ)

แต่นั่นแหล่ะ นี่มันหนังสือเด็กห้าขวบจริงๆหรอ 5555++

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รีวิวหนังสือเด็ก

เรื่อง George Flies South โดย Simon James
http://www.simonjamesbooks.com/#

เป็นเรื่องของจอร์จ นกน้อยที่ไม่ยอมหัดบิน
พอแม่ออกไปหาอาหาร รังของจอร์จปลิวไปตามที่ต่างๆ
จนในที่สุดรังก็หลุดร่วงไป
จอร์จเลยต้องหัดบิน


ลายเส้นฮะเมี๊ยวงุกงิก ใช้ปากกาสีดำตัดเส้นและใช้สีน้ำ
(ตามรูปในเวบเล้ย)
เราชอบสีบรรยากาศของภาพ
เค้าใช้สีไม่เยอะ เป็นสีโทนเย็น ตัดด้วยสีน้ำตาลและเหลือง
(เพราะเป็นเรื่องราวช่วงปลายใบไม้ร่วง)
ส่วนตัวคุณนกก็งุกงิกบ๊องแบ๊ว
composition กับ มุมมองของฉากบางฉาก
เช่นฉากที่จอร์จกำลังตกลงไปบนถนนก็สวย
สรุปว่างุงิน่ารัก

อีกเรื่องหนึ่ง
Imogene's Antlers by David Small
เป็นเรื่องของ Imogene ที่เช้าขึ้นมาก็มีเขากวางงอกออกมาที่หัว
เทคนิคเป็นสีน้ำ แล้วแรเงาด้วยสีำไม้ ตัดเส้นด้วยดินสอดำ
ลายเส้นพลิ้วมาก มีความเคลื่อนไหว มีรายละเอียดของตัวละครและฉาก
(คือฉากจะสีจางกว่าตัวละครเล็กน้อย และตัดเส้นบางกว่า)
สีสันของเล่มนี้สดใสซาบซ่าน
และตัวภาพสัมพันธ์กับเรื่องราวมาก(มากๆๆๆ)
อ่านแล้วรู้สึกลุ้นตามทุกหน้าเลย
เป็นเรื่องที่สนุกมากๆเรื่องนึงเลยล่ะ
(คือรู้สึกเหมือนเนื้อหาไม่มีอะไร แต่มีสเน่ห์บางอย่างให้เปิดอ่านอีกหลายๆรอบ

http://en.wikipedia.org/wiki/David_Small

จบที่ยืมมาของเมื่อวานนี้แล้ว :D

พบแล้ว!

วันนี้หลังจากพลิกดูหนังสือที่ยืมมา
เราก็พบแล้วว่าทำไมเราถึงรู้สึกว่ารูปเรามันขาดๆ

สิ่งที่ขาดก็คือ "ความเคลื่อนไหว"
(รูปที่ไหนมันเคลื่อนได้วะ?)

เวลาดูหนังสือเด็ก เราจะรู้สึกได้ว่ารูปมันเคลื่อนไหว มันมีชีวิต
ยิ่งนักวาดเก่งๆ ยิ่งวาดให้มันมีชีวิต
และสอดคล้องกับเรื่องราว
วันนี้ยืมหนังสือมาเพิ่มอีกสองเล่ม
เป็นนักวาดที่เจ๋งทั้งคู่เลย
คาแรคเตอร์มันดูอิสระและเคลื่อนไหวได้

คิดๆดูแล้วก็เหมือนการแสดงนะ
แบบว่าวาดแข็งๆก็เหมือนดูละครที่นักแสดงเล่นแข็ง
ฉา่กก็มีส่วนสำคัญ
คือทุกอย่างต้องปรองดองกัน -_-''
(ของอิฉันยังเป็นมะม่วงดองอยู่)


อ้อ ทดไว้ๆ
วันก่อนยืมเรื่อง Sarah's heavy heart ของ Peter Carnavas มา
ส่วนนี่คือบลอกของสำนัีกพิมพ์
http://newfrontierpublishing.blogspot.com/
และเวบของสำนักพิมพ์
http://www.newfrontier.com.au/home.htm
แล้วก็บลอกนี้ (Children's Book Illustrators - A Showcase)
http://cbishowcase.blogspot.com/

แล้วก็เวบไซต์รีวิวหนังสือเด็ก
http://www.aussiereviews.com/


นี่เป็นสาเหตุที่เราศึกษาตอนอยู่ที่นี่
เพราะแหล่งข้อมูลมันเยอะ *o*
โฮะ โฮะ โฮะ.. ขอให้หนูอย่าขี้เกียจหนีไปกลิ้งๆอยู่บนเตียงเฉยๆเลย :P

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปัจจุบันสำคัญสุด

วันก็เลื่อน เดือนก็หนี ปีก็ผ่าน
อดีตกาล มิหวนกลับ ลี้หลับใหล
อนาคต คงคดงอ อีกต่อไป
จงปรับใจ เจนจัด กับปัจจุบัน


อรุณรุ่ง เหน็บหนาว มิยาวนัก
เดี๋ยวก็จัก เป็นยามสาย มาผายผัน
แล้วก็เปลี่ยน ยามสาย เป็นบ่ายครัน
มิช้าพลัน ตะวันรอน อ่อนอัสดง


เป็นความมืด มิยืดยาว ชั่วคราวหนึ่ง
ต่อนั้นจึง เป็นความสว่าง กระจ่างหน
ประเดี๋ยวมืด ประเดี๋ยวสว่าง อย่างเยียบยล
ทุกผู้คน สัมผัสเห็น มิเว้นวัน


พระอาทิตย์ จรัสแสง แจ่มแจ้งฟ้า
ส่องโลกหล้า พ้นทุกข์ เป็นสุขสันต์
เป็นหน้าที่ เที่ยงตรง คงกระพัน
เป็นกิจวัตร ประจำวัน มิเว้นวาง


สิ่งสูงสุด มนุษย์ล้วน ควรสำนึก
จงเร่งฝึก ศึกษา ยามฟ้าสาง
เราเรียนโลก เรียนชีวิต ทุกทิศทาง
จะหนาบาง จะหนักเบา เราต้องทน


วันก็เลื่อน เดือนก็หนี ปีก็ผ่าน
อดีตกาล มิหวนกลับ อย่าสับสน
อนาคต ภายหน้า อย่าจำนน
จงเป็นคน ปัจจุบัน สุขสันต์เทอญ

via http://www.baanklon.com/index.php?topic=728.0

Follow me : Tricia Tusa



วันก่อนไปยืมเล่มนี้มา
ชอบอาร์ตเค้ามากเลย
เค้าใช้ oil pastels แล้วก็ตัดเส้นด้วยสีน้ำตาล
แต่ดูไม่ออกว่าใช้อะไรตัดเส้น เหมือนจะเป็นปากกาหมึกซึม
แต่ก็ไม่น่าใช้เพราะถ้าสีเป็นน้ำมัน
ปากกาหมึกซึมน่าจะใช้ไม่ติด .. -_-' งง

เราพยายามหาเวบไซต์ของนักเขียน+วาด
แต่ไม่มี ก็เลยค้นๆไปเจอเวบนี้เข้า

เลยทำให้รู้ว่าเค้าวาดยังไงในที่สุด
เย่.. (งงตั้งนาน ฮ่าๆๆ)

เวบนี้มีสัมภาษณ์นักวาดภาพมากมาย *_*~

แล้วก็ไปเจองานน่ารักๆ ดูแล้วก็อร๊ายอร๊ายย.. >////<
5555++


----------------------

ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากอาหาร แต่หิว
ก็พยายามกินนะ เพราะไม่อยากปวดท้องกระเพาะ
ไม่รู้ว่าการมาอยู่ประเทศพัฒนาแล้ว
คุณภาพชีวิต(ของเรา)ดีขึ้นหรือแย่ลง
รู้สึกเหมือนตัวเองจะกิน
อะไรก็ได้ที่กระเพาะมนุษย์ทั่วไปย่อยได้
(ซึ่งอาหารบางอย่างข้าพเจ้าก็แพ้
แต่รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง)
สับสนสิ้นดีกับโรคเครียดและการแพ้อาหาร
คือไม่รู้อะไรมันไปกระตุ้นอาการบีบตัวของกระเพาะ
~_~

----------------

ตอนนี้พยายามทำแลบนะ
แต่ขี้เกี๊ยดขี้เกียจ 555++
รู้สึกเหมือนตัวเองขึ้นเขามาตรงกลางเขา
แล้วกำลังนั่งหายใจหอบๆ
คือ กลิ้งลงไปคงตาย
ปีนขึ้นไปก็ไม่มีแรง
กำลังคิดจะนอนตายอยู่แถวนี้
แต่ดูท่าทางจะไม่ได้รับอนุญาติให้ทำเช่นนั้น
ก็คงจะคลานๆไปอ่ะนะ :P

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โทรศัพท์

วันนี้โทรไปเล่าให้แม่ฟัง ว่าจะลดเล่นโซเชี่ยวเนทเวิร์ค
แล้วหันมาจริงจังกับการศึกษาหนังสือภาพ
แม่บอกว่าดีแล้ว คนเราควรทำอะไรด้วยความตั้งใจจริง
มีคนมากมายในโลกที่ไปไม่ถึงจุดหมาย
เพราะเขาละทิ้งความพยายาม
แม่พูดหลายๆอย่าง
เราฟังไปแล้วก็น้ำตาไหล
แม่บอกว่าในชีวิตแม่
แม่ทำดีที่สุดแล้ว
ก็มีเรื่องที่เสียใจในชีวิตอยู่สองสามเรื่อง
แต่เราก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้แล้ว
ได้แต่นั่งเสียดาย
แม่บอกว่าให้เราทำให้เต็มที่
ตอนที่มีโอกาสอยู่ออสเตรเลียนี่
(เพราะบอกแม่ว่าที่นี่หนังสือเด็กในห้องสมุดมันเยอะ ยืมก็ฟรี)
เวลากลับไป จะได้ไม่มานั่งเสียดาย
ว่าเอาเวลาไปทำอะไรซะหมด

แม่พูดอีกหลายๆอย่าง ให้กำลังใจเรา
ให้เราพยายามต่อไป
ยิ่งฟังยิ่งน้ำตาไหล
รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาจริงๆ
และไม่น่าเชื่อว่าแม่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้ขนาดนี้
ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนนะ
เราไม่ควรเสียเวลามานั่งเสียใจกับสิ่งที่ทำพลาดไป
แล้วก็นั่งกล่าวโทษตัวเอง



---


วันนี้เข้าห้องสมุดประชาชน เจอหนังสือของ Shaun Tan วางอยู่บนชั้น
เราเคยค้นๆเมื่อหลายๆอาทิตย์ก่อน แต่ไม่เจอ
จนอยู่ดีดีวันนี้มันก็มาอยู่บนชั้น
(คิดว่าคนคงเพิ่งเอามาคืน)
ก็เลยยืมมา
หนังสือของ Shaun เรื่อง The Arrival ถือเป็นแรงบันดาลใจให้เรา
คือเดินห้องสมุดเล่นๆ แล้วไปเจอหนังสือเล่มนี้วางอยู่
ก็เปิดดู แล้วเห็นว่ามันสวย มันน่าสนใจมาก
ก็เลยยืมไปอ่าน
หลังจากนั้นก็จะต้องเดินไปชั้นหนังสือเด็กทุกครั้งที่มีโอกาส
และคิดอยากวาดรูปให้สวยและกินใจอย่างนั้นบ้าง
ส่วนแรงบันดาลใจที่ทำให้เราเดินไปชั้นหนังสือเด็กวันนั้น
ก็คือพี่ปราย พันแสง มาเม้นท์รูปในเฟซบุคเรารูปหนี่ง
บอกให้เราไปหาหนังสือของจิมมี่ เลี่ยว มาอ่านเยอะๆ
แล้วให้หัดวาดให้มากๆ
แล้วก็มีพี่ๆอีกหลายคนที่บังเอิญผ่านตารูปในFBของเรา
เข้ามาบอกว่าชอบรูป
ขอบคุณมากๆนะคะ
เราเชื่อว่าถ้าเราพยายามไปเรื่อยๆ
เราคงจะทำได้
:)

:- )

เลือกอะไรก็ได้
ที่พอเรามองย้อนกลับมา
แล้วตัวเองไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง

ลิงก์


บางที

เมืออาทิตย์ที่แล้วเข้าห้องสมุดประชาชนของที่นี่
ก็เดินเข้าไปดูการ์ตูน แล้วก็เดินไปโซนหนังสือเด็ก
ตามปกติที่ชอบทำ
หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาดู
เป็นงานแนวrealistic คือวาดภาพเหมือนจริง
(ปกติหนังสือเด็ก ตัวอาร์ตจะมีหลายแนว)
แล้วทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนึงในคลาสวาดภาพประกอบหนังสือเด็ก
เราอ่านเรื่องที่เราเขียน(กลอนอันนั้น)ให้เธอและเพื่อนที่นั่งข้างๆเธอฟัง
แล้วก็เอาดราฟท์ที่เราวาดภาพให้เธอดู
เธอบอกว่า ขอให้แมนูสคริปส์ผ่าน
ถ้าหนังสือถูกตีพิมพ์ เธอจะซื้อเก็บไว้
แล้วบอกกับคนอื่นว่ารู้จักกับคนเขียน
ตอนที่นึกถึงเหตุการณ์นั้น
ตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
จนกระทั่งตอนนี้
รู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
ที่เราไม่ได้ develop งานนั้นต่อ
เพราะเรายังรู้สึกว่าภาพประกอบมันยังใช้ไม่ได้
ก็คือยังไม่ถูกใจเราไปเสียทั้งหมด
รู้สึกว่าต้องศึกษาให้มากกว่านี้
เวลาเปิดหนังสือเด็กดูก็จะรู้ว่า
งานเรายังไม่ถึง
แต่ก็ยังค้นไม่เจอว่าอะไรทำให้มันยังขาด
ส่วนสาเหตุที่รู้สึกเสียใจเพราะ
เราไม่รู้ว่าตัวเราที่ทุ่มเทเพื่องานมันหายไปไหน
ทำไมตอนนี้เราถึงจิตตกและเศร้าได้ง่ายขนาดนี้

เมื่อวานโทรศัพท์หาแม่เพราะมีเรื่องนิดหน่อย
แม่ก็คุยเรื่องต่างๆให้กำลังใจเราเรื่องเรียน
เราดีใจนะที่แม่เปลี่ยนไปมาก
ไม่ห้ามสักคำเรื่องที่เราไปเรียนศิลปะ
แม่บอกว่าเชื่อในการตัดสินใจ
ทั้งๆที่เมื่อตอนม.ปลายแม่จะบ่นว่า
จะซื้อมาทำไมนักหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ
แต่เราก็พิสูจน์ว่าที่เราหัดมาทั้งหมด
มันไม่ใช่แค่ซื้อมาเปล่าๆ
มันมาเรามาไกลได้จริงๆ
แต่ตอนนี้เรากลับรู้สึกว่า
ความมุ่งมั่นแบบเดียวกับที่เราอ่านภาษาอังกฤษตอนนั้นหายไปไหน

วันนี้คุยกับพี่อ้วน(เจ้าของร้าน) ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยกับพี่ธี
เราแค่บอกว่าเราชอบทำอะไรหลายๆอย่าง
พี่เค้าทั้งสองคนก็พูดเหมือนกัน(แต่คนละเวลา)
ว่าคนเราก็ควรจะทำสิ่งที่เป็นอาชีพให้เก่งที่สุด
แต่ถ้าเรารักของสองอย่างพร้อมๆกัน
เราจะทำไม่ได้หรือ
เรามานั่งคิดว่า
เราควรต้องรอเวลา หรือละทิ้งชีวิตส่วนตัวไป
เราไม่ได้อยากประสบความสำเร็จ
แต่เสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งที่คิดอยากทำ
พิมพ์มาตอนนี้ก็พอจะได้คำตอบเลาๆแล้ว
เหลือแต่ว่าจะตัดสินใจทำตามสิ่งที่ตัวเองตอบหรือเปล่า
บางทีคืนนี้หลับไป แล้วพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาอาจจะมีคำตอบ
บางทีนะ..

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหนื่อย

อาทิตย์ที่ผ่านมาถือเป็นอาทิตย์ที่เหนื่อยมาก
แต่ยังมีเวลาคิดว่าตัวเองเหนื่อย
แสดงว่ายังไม่แย่มาก
เพราะถ้าแย่จริงๆจะไม่ถึงขั้นออกปากบ่น
(เราเลยคิดว่าคนอื่นๆก็คงเหมือนกัน
ในแง่ว่า ถ้ายังบ่นอยู่แสดงว่ายังไม่ใกล้ตาย
แต่ถ้าใกล้ตายจะไม่บ่น)

เมื่ออาทิตย์ก่อนหน้านั่นน่ะของจริง
มีบางวันงานยังไม่เลิก แต่เหนื่อยจนลิ้นแข็ง
คือลิ้นอ่ะแข็งพูดไม่ออกไปแล้ว
และไม่ได้รู้สึกเศร้าเครียดหรืออยากร้องไห้
แค่อยากนอนเฉยๆ

สองสามวันนี้กลับมาหนาวอีกรอบแล้ว
ฮีตเตอร์(แอร์)ที่ห้องมีปัญหาอีกแล้ว
จนตอนนี้คิดว่าจะซื้อฮีตเตอร์มาไว้ที่ห้อง
แล้วอาทิตย์นี้ดันเผลอเล่นเนทมาก
รบกวนระบบสุขภาพพอสมควร
ถือว่าเป็นอาทิตย์ีที่เวิ่นเว้อ
อาทิตย์หน้าปรับปรุงตัวใหม่..

อ้อ มีเรื่องน่าเซ็งอีกเรื่อง
คือแลบทำPCRมันล็อคหลังชม.ทำงาน
ตอนนี้ต้องวางแผนทำแลบใหม่
คือต้องออกเช้าแล้วไปทำก่อนเริ่มงาน
แต่รันเจลและอืนๆ ทำตอนกลางคืนได้
ไม่รู้ล่ะ ยังไงซะเดือนนี้ก็ต้องให้ได้ผลของโปรเจกส์น้อยนี้ให้ได้
ไม่งั้นมันจะเืลื่อนๆๆๆๆ ออกไป
คราวนี้ไม่จบจริงๆแน่ๆ
(อืม ไม่ได้เครียดมาก แค่กำลังผลักดันตัวเวิ่นเว้อออกไปจากชีวิต)
พี่เราก็พยายามบอกว่าให้นอนเยอะๆเนะ ^ ^ Y
ซู่ซู่ !!

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

overcome

เมื่อปีก่อนๆ ฉันเครียดมากๆ
เพราะทำแลบเท่าไหร่ๆ ก็เฟล
เป็นครึ่งๆ ปี ที่ผลแลบไม่ออก
ทำไปกี่ร้อยรีแอคชั่นได้มาแต่ความว่างเปล่า
นั่งร้องไห้คาห้องแลบก็เคยมาแล้ว

อีกครั้งหนึ่งที่ทำแลบ
ทำโปรเจกส์นี้สองสามเดือน(พร้อมๆกับโปรเจกส์อื่น)
กะว่าจะต้องได้ตีพิมพ์สาหร่ายสปีชีส์ใหม่
แล้วก็ต้องมาพบทีหลังว่า
สาหร่ายนี้มีคนเคยรายงานมาแล้ว
เพียงแต่อาจารย์ลืมเช็คก่อนให้เราทำแลบ
เราเพิ่งมาเจอทีหลัง
ร้องไห้เป็นเผาเต่าไปร่วมอาทิตย์
ไม่รู้จะด่าใครดี เลยนั่งร้องไห้กินน้ำตาเค็มปะแล่มๆ
จริงๆน้ำตาก็ไม่ได้มีรสอร่อยนะ
แถมร้องไห้มากๆ จมูกตัน หายใจไม่ออกอีก

ตอนที่ผลแลบไม่ออก ฉันรู้สึกว่าตัวเองห่วยมาก
แย่มาก โง่มาก เหี้ยมาก เฮงซวยมาก
(และอาจารย์ก็คงคิดเช่นนั้น จากวจนะ และ อวจภาษา)

แต่อยู่ดีดี ฉันก็พบว่า ตอนนี้ตัวเองทำแลบแบบสบายใจมาก
ฉันอาจจะบูดนิดหน่อยเวลาอาจารย์แสดงอาการดูแคลน
แต่ลึกๆ เวลาอยู่คนเดียว ฉันสบายใจมาก
ผลแลบไม่ออกก็ช่างมัน
เพราะฉันไม่ได้ปล่อยให้มันครอบงำฉัน
ไม่ว่าผลแลบจะดีหรือเหี้ย ฉันก็ตัวเท่าเดิม
ยังมีหน้าตาเหมือนเดิม เสียงเหมือนเดิม
มีแม่คนเดิม พี่ชายคนเดิม มีเพื่อนสนิทคนเดิมๆ
ยังคงเป็นเหมือนเดิม
โลกของฉันไม่ได้หยุดหมุน ฟ้าไม่ได้ถล่ม ดินไม่ได้ทลาย
ผลแลบจะเปลี่ยนแปลงโลกของฉัน
เมื่อฉันปล่อยให้มันครอบงำและยอมให้มันเปลี่ยนแปลง
ฉันจะปล่อยให้ตัวเองเป็นทุกข์เพราะผลแลบหรือไม่เป็นก็ได้
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้ทันมัน
เฝ้าแต่คิดว่าเราไม่มีความสามารถ
เราโง่ เราห่วย
พอปล่อยให้ความคิดพวกนี้ครอบงำเรา
ก็จบแล้วล่ะ
เมื่อก่อนฉันไม่เคยมีความคิดเหล่านี้ในหัวเลยนะ
ไม่ได้อยากเป็นคนดี คนเก่ง
ตั้งแต่มาอยู่นี่ คนคาดหวังในตัวฉันกันเยอะ
มันยิ่งทำให้ฉันถูกครอบงำด้วยสิ่งที่ไม่รู้จัก
ฉันเลยเลิกฟังเสียงรอบข้าง
แล้วสนใจแต่งานของตัวเอง
เหมือนนักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลง
ก็ต้องฟังแต่เสียงของตัวโน๊ตที่ตัวเองบรรเลงอยู่
ถ้ามัวแต่ไปฟังเสียงเพลงอื่น
เพลงที่ตัวเองกำลังเล่นอยู่ก็ล่มได้
เหมือนกับนักกายกรรมที่กำลังไต่บนเส้นเชือก
จะไปมัวแต่มองคนดูน่ะไม่ได้
ต้องมองเท้าของตัวเองที่ยืนอยู่บนเส้นเชือก
วินาทีนั้นไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการยืนบนเส้นเชือกอีกแล้ว
ไม่ว่าจะมีดวงตานับหมื่นคู่
หรือไม่มีใครมองอยู่เลย
การเดินบนเส้นเชือกก็ต้องสำคัญที่สุด
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านั้น

ยอมรับจริงๆว่าได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากการมาอยู่ที่นี่
ยิ่งได้นั่งนิ่งๆ อยู่ตัวคนเดียว ยิ่งได้คิด ได้เจออะไรที่ไม่เคยเจอ
โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ในใจ
โน๊ตนี้เขียนไว้เพื่อเรียบเรียงความคิดและเตือนสติตัวเองให้มากๆ
ว่าอย่าปล่อยให้อะไรมันมาครอบงำเรา
ต้องสังเกตดีดี
เพราะบางทีมันอาจจะมาในรูปแบบที่เราไม่ทันสังเกต
กว่าจะรู้ตัวก็ปวดหัวตามไปกับมันเสียแล้ว
[ช่วงนี้ไม่กินคาเฟอีน เครื่องดื่มบำรุงกำลัง อาหารเสริมลดความเครียด แล้ว
มีความสบายใจมากๆ :) ]

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บอลลูน

คล้ายๆรอยแผลของบอลลูน
ที่ค่อยๆเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ
คล้ายๆรอยรั่วของลำเรือ
ที่ค่อยๆมีน้ำรั่วซึมเข้ามา
คล้ายๆกับวงของเชื้อราบนใบอ่อน
ที่ค่อยๆขยายตัวเองออกไปจนเต็มต้น
เรื่องบางอย่าง
หากไม่รีบจัดการ
นอกจากเวลาจะไม่ช่วยให้มันดีขึ้น
มันกลับทำให้ปัญหาขยายออกไป
จนบางที เมื่อเวลาหนึ่งมาถึง
ปัญหานั้นก็จะเลยไปถึงจุดที่ไม่อาจจะแก้ได้อีก

เวลาไม่สามารถเยียวยาทุกปัญหาได้ด้วยตัวมันเองหรอก..

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คว้า

สิ่งที่ฉันคว้าได้คือเงาหรือวัตถุ
มันเบาบางและไม่ชัดเจนเสียจน
ฉันคิดจะปล่อยมันไป
และให้อิสระแก่ตัวเองเสียที

ฮือ

กลับมานั่งดูที่เคยนั่งจดๆไว้
ลืมหมดแล้ว ลืมหมดเลย.. Y_Y
การเรียนภาษานั้นต้องต่อเนื่องนะเออ... ฮืออ..

แต่เราจะไม่ยอมแพ้
รู้สึกเหมือนตัวขี้เกียจมันหมักหมมจนกลายเป็นเชื้ออะไรสักอย่างที่จุดไฟได้
(หมายความว่า ขี้เกียจจนมาถึงระดับหนึ่้ง จนทนตัวเองไม่ไหว เลยต้องไฟลุกบ้าง)

อืม แล้วจะเขียนให้มันยากทำไมหว่า?!? 555+

ความเศร้า

ในเวลาเศร้า ก็มีแต่เราที่เปียกปอน
ไม่ว่าเราจะตะโกนบอกใครยังไง
ก็ไม่มีใครเปียกเท่ากับคนที่ฝนตกรดหัวหรอก
รีบๆออกมาจากเมฆฝนได้แล้ว
ถ้ามันเศร้านักก็เดินจากมา
แล้วก็ไม่ต้องกลับไปอีก
ไม่ต้องมองหาความเข้าใจในคนอื่น
เราเข้าใจในตัวเราเองเป็นพอ

ย้ายกลับมาอยู่นี่..

ฉันชอบอ่านบลอกและชอบการเขียนบลอกมากกว่า
แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าอัพเดททุกอย่างลง FB
ซึ่งทำให้การเขียนบลอกเป็นเรื่องที่ยากเย็น
เพราะกลายเป็นชินกับการเขียนอะไรสั้นๆ ไม่ต้องคิดมาก
แล้วก็พูดคุยเจ๊าะแจ๊ะจอแจขำๆไปเรื่อย
ซึ่งผิดกับธรรมชาติของฉันมากๆ
ฉัีนเป็นคนชอบการสื่อสารแบบตัวต่อตัว
หรือในกลุ่มเล็กๆ
คุยกันให้ได้อรรถรสมากกว่าที่จะตะโกนโหวกเหวกคุยกับคนมากมาย
(แต่ก็ตะโกนคุยกับชาวบ้านบ่อยๆในFB)
สงสัยเป็นเพราะมีไอดอลในFBเยอะ
เลยติดซะงอมแงม
แต่ต้องปรับปรุงแล้วแหล่ะ
รู้สึกว่าถึงเวลาที่เราต้องสนใจเรื่องของตัวเอง
ทำงานของตัวเองให้มันดี
พัฒนาตัวเองในสิ่งที่อยากจะทำ

เรารู้สึกว่า เราน่าจะเอาเวลาเล่นFB มาทำสิ่งที่อยากทำต่อมานาน
นั่นคือฝึกภาษาญี่ปุ่น
เราเลยคิดว่าต่อๆไป คงจะจำกัดเวลาเล่นFB จะได้เหลือเวลาไปทำอย่างอื่น
เช่นอ่านเปเปอร์ ทำงาน และฝึกภาษาญี่ปุ่น
เราจะมีความสุขมากที่ได้เห็นตัวเองพัฒนาทุกวัน
เหมือนเวลาที่เราเดินผ่านหลักไมล์มาได้
ไม่ต้องเดินแข่งกับใคร แค่หันหลังไปเห็นภาพตัวเองของเมื่อวานก็ชื่นใจ
ว่าวันนี้เดินได้ไกลกว่าเมื่อวานแล้ว
และพรุ่งนี้ก็น่าจะเดินได้ไกลกว่าวันนี้ด้วย
เอ้า.. สู้เว้ยเฮ้ยย... ^ ^Y

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

status FB วันนี้

The person you have missed did not answer :: ไม่มีสัญญาณตอบรักจากคนที่คุณคิดถึง

The person you have chased is not available. Please try again next life. :: บุคคลที่คุณตามจีบไม่ว่างแล้ว โปรดพยายามใหม่ชาติหน้า

ถ้าฉันแอบมีคุณอยู่ในความคิด คุณจะตามมาเก็บค่าลิขสิทธิ์ไหมคะ?

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

กลับไป





วันนี้ไปงานพิธีศพของอาจารย์ท่านนึงมา


เราอาจจะเกิดมาจากความไม่มี
และกลับไปสู่ความไม่มีอีกครั้ง
คงเหลือแต่ชื่อและแผ่นป้ายหน้าศพ
และผลงานกับความทรงจำให้ผู้คนได้นึกถึง




















โลงศพถูกเลื่อนลงไปทำพิธีเผา (ไม่ได้เห็นเพราะนั่งอยู่แถวหลัง)


















อัฐิบางส่วนถูกฝังไว้รอบๆต้นไม้ ส่วนใหญ่อยู่ในสนาม มีแผ่นป้ายจารึกชื่อกำกับ บางบริเวณมีไว้สำหรับคนคริสต์ บางบริเวณ เป็นส่วนทั่วไป อีกด้านหนึ่งมีส่วนของศพที่ฝัง(โดยไม่เผา) แผ่นจารึกเป็นหินขนาดใหญ่ ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย


ลักษณะของสุสานและพิธีที่นี่ เค้าพยายามทำให้สดชื่น
โดยตอนต้นของพิธี ผู้กล่าวเปิด พูดคำว่า Celebrate เยอะมาก
celebrate ถึงผลงานที่อาจารย์ทำให้กับโลกนี้
Celebrate ถึงความดี ความรัก และอื่นๆ







การเกิดมาและมีอยู่ของชีวิตคนหนึ่งๆ อาจเป็นเรื่องน่ายินดีก็ได้
เพราะอย่างน้อยเซลล์เริ่มต้นเพียงหนึ่งเซลล์
อาจจะสร้างประโยชน์ได้มหาศาล
(และเป็นไปได้ในทางตรงกันข้าม)

เรามาเฉลิมฉลองการเกิด การมีชีวิตอยู่ และการตายกันเถอะ!

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

วันนี้ไปถ่ายรูปมา


อัพลง FB ละ

http://www.facebook.com/album.php?aid=2085132&id=1573134474&l=46f5902b81

(พอดีหิ้วกล้องไปถ่ายน้องสาหร่าย เลยถือไปถ่ายเล่นเรื่อยๆ)

ไม่มีนิรันดร์

วันนี้คุยกะเพื่อนร่วมแลบ
ว่าแฟนเค้าจะมาทีีนี่เหรอ
มานานเท่าไหร่ล่ะ
เพื่อนเราก็บอกว่า
นานๆ เราก็เลยถามว่ายังไม่ได้แพลนเหรอ
เขาก็บอกว่ามาอยู่เลย เราก็อ้อๆ
แล้วเพื่อนเราก็พูดเบาๆว่า
"I wish she could be here forever, if she want to.

ฉันได้แต่ทำหน้า อ้อ โอเคๆ





ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใดๆทั้งสิ้น
เนื่องจากเรารู้ว่า ก่อนหน้าที่เขาจะมาเรียนที่นี่
เขาเคยมีแฟนที่เมลเบิร์น และไม่ใช่คนนี้
และเขาเพิ่งมาเรียนได้ปีนิดๆ
แล้วเขาพูดว่า อยากให้แฟนคนปัจจุบันอยู่กับเขาตลอดกาล
งั้นเหรอ.....

โลกนี้มีคำว่าตลอดกาลงั้นเหรออออ...


ฉันอาจจะเหมือนผู้หญิงห้าสิบ
แต่ยินดีที่จะคิดอย่างนั้นมากกว่า


พ่อตายตั้งแต่แม่สามสิบนิดๆ
แม่บอกว่า แม่ไม่อยากมีสามีใหม่ให้ลูกรู้สึกแย่
แม่บอกว่า ดูซิ ไอ้พวกร้องไห้คร่ำครวญที่สามีหรือภรรยาตายในงานศพ
ไม่นานก็มีใหม่





บางทีความนิรันดร์อาจจะไม่ได้อยู่ที่คำพูด
ความนิรันดร์อาจจะอยู่ที่ตัวของมันเอง
ใช่.. เรายังต้องเดินต่อไป ต้องมีวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีหน้า สิบปีข้างหน้า
ไม่มีคำพูดใดที่รับประกันได้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง
นอกจากการกระทำของเราเองนั้นแหล่ะ..

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

สุข

ความสุขอาจจะไม่ใช่อะไรเลยนอกจากความพอใจ

บางคนเป็นสุขที่ได้กินส้มตำน้ำตกจากร้านอาหารริมทาง
อีกคนอาจจะเป็นสุขจากการกินอาหารเลิศรสจากพ่อครัวมือหนึ่ง

แต่เชือไหมว่าความรู้สึกเป็นสุขมันไม่ต่างกันหรอก
บางคนอาจจะตีค่่าความสุขตามราคาของเงิน
ยิ่งแพง ยิ่งมีความสุขเยอะ

แต่มันจริงหรือ?

แค่ถามใจตัวเอง เราคงมีคำตอบทุกคน


ดังนั้น จะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกนั้น ไม่ยาก
แค่พอใจกับตัวเอง ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมีและเป็นในตอนนี้
เราก็จะพบว่าความสุขมันหลั่งไหลมาจากไหนก็ไม่รู้
เราจะรู้สึกว่าโชคดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราทุกข์ใจจะตายเมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เราคิดว่าเขาดีกว่า
แค่"พอใจ"คำเดียว มันมีพลังมหาศาลในการเรียกความสุขแล้ว

แล้วเราจะวิ่งไปตามหาความสุขจากที่ไกลๆ เพื่ออะไรกันล่ะ?

มีชีวิตอย่างไร

เมื่อตอนเด็กๆ เรารู้ว่าการหาเลี้ยงชีวิต จำเป็นต่อการมีชีวิต
ชีวิตของเราอาจจะเหมือนกับต้นไม้ในหลอดทดลองที่ต้องคอยมีสารอาหารมาประคับประคอง

พอโตขึ้นมาอีกหน่อย เรามองว่าการมีชีวิต คือ การใช้ชีวิต
ควรได้ทำอย่างที่เราอยากทำให้เต็มที่ เหมือนมีรถคันหนึ่ง ก็ต้องใช้มันขับออกไป

จนตอนนี้ อยู่ดีดีเราก็คิดว่า บางที การมีชีวิตของเรา คือ การดำรงชีวิต
เราไม่ใช่เจ้าของชีวิตของเรา เราเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้มัน
ใช่.. เราไม่ใช่เจ้าของของอะไรเลย เพราะถ้าเราเป็นเจ้าของมันจริง
เราควรจะควบคุมมันได้ ควรจะสามารถสั่งได้ทุกอย่าง ซึ่งไม่เป็นเช่นนั้น
ชีวิตที่เราคิดว่าเป็นของเรา อยู่ดีดีมันจะป่วย มันก็ป่วยของมันเอง
อยู่ดีดีเกิดอยากจะตาย หลายคนก็ตายไปโดยไม่ทันตั้งตัว
แล้วเราจะมีสิทธิใช้ชีวิตได้ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่ของเรา

เราอาจจะมีหน้าที่แค่ดำรงชีวิตให้เป็นปกติสุข
เหมือนที่ต้นไม้ไม่เคยเป็นเจ้าของอะไรเลย
แม้กระทั่งลูกไม้ที่มันสร้างมา
ผลผลิตของมันก็เป็นอาหารสัตว์ป่า
โดยที่ต้นไม้ไม่เคยเอากิ่งฟาดสัตว์ที่มากินลูกไม้ของมัน
ไม่เคยคิดว่าแอปเปิลที่หวานที่สุดเป็นผลผลิตของฉัน

เพราะสิ่งที่สร้างแอปเปิลไม่ใช่เป็นเพียงต้นแอปเปิล
แต่ประกอบไปด้วยดิน อากาศ น้ำ แร่ธาตุ
ต้นแอปเปิลจึงไม่มีสิทธิสมบูรณ์ในลูกแอปเปิลนั้น

แล้วมนุษย์เรา่ล่ะ.. จะมีสิทธิในอะไร?

กลอนเมื่อวานนี้

ราคาของไม่ได้แพงตามคุณค่า สวยหน้าตาบ่ได้บ่งบอกนิสัย
คนรวยทรัพย์หาใช่คนรวยน้ำใจ มองอะไรโปรดจงมองให้นานนาน

นั่งแต่งเล่น แล้วกลัวลืม เลยปะไว้ที่นี่ ^^''