วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปรึกษา

วันนี้อยู่ในโหมดไม่ไหวแล้ว ต้องการระบาย
ก็เลยโทรไปหาถ้วย
โทรไปเล่าให้ฟังเรื่องที่เราเป็นที่ปรึกษาคนอื่น
แล้วเหนื่อยเหลือเกิน
โทรไปเล่าเรื่องของตัวเอง
ซึ่งก็เหนื่อยใจไม่แพ้กัน
เรากะถ้วยมีความคิดตรงกันหลายๆอย่าง
เพื่อนเราบางคนบอกว่า
ให้ลองพิจารณาอีกที
แต่เรารู้สึกว่า
ของบางอย่างที่ทำลายสมาธิเรา
เราก็ต้องปล่อยไป
เราเคยเขียนบลอกอันหนึ่ง
ประมาณว่า
ถ้าไม่คิดจะบิน
ก็ทิ้งปีกเถอะ
ตอนนี้เราจะบิน
เราคงต้องทิ้งครีบทิ้งเกล็ด


เราคงจะคิดไม่เหมือนคนอื่น
เพราะถ้าเรารักใครสักคนมากๆ
เราจะไม่พูดจาอะไรให้เขาลำบากใจ
เราจะพูดตรงแต่ไม่กดดันเขา
เพราะเรารู้ว่าความสุขของเราก็คือการเห็นเขามีความสุข
เห็นเขาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เห็นเขาขยันและทำงานหนัก
พอเห็นเขามีความทุกข์ มีความเครียด
ก็อยากเป็นคนแรกๆที่ปลอบใจ
ตอนนี้เราไม่สบายใจทุกๆวันเลย
เราเลยมองว่า
เราคงเป็นคนคนละประเภทกัน
แล้วเราก็สงสัยว่า
ทำไมเราถึงทำให้ตัวเองไม่มีความสุขด้วย

เราถามถ้วยว่าถ้าถ้วยเป็นเรา
ถ้วยจะทำไง
ถ้วยก็บอกว่า ก็จะหายไปเฉยๆ
เราก็บอกถ้วยว่า
เราก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
แต่ยังไม่กล้าพอ
เราเกลียดที่จะทำให้คนอื่นไม่สบายใจ
แต่ถ้าเรากดดันมากๆจริงๆ
เราก็คงจะทำอย่างนั้น
แล้วเราก็ถามถ้วยว่า
ถ้าถ้วยเป็นอีกฝ่ายหนึ่งล่ะ
ถ้วยจะเอายังไง
ถ้วยก็บอกว่า
ถ้วยจะเข้ามาคุยกับเรา
เราก็บอกถ้วยว่า
เราก็คิดอย่างนั้น
คิดอย่างนั้นมานานแล้ว
แล้วมันยิ่งทำให้เราสงสัย
ว่าเราคิดตรงๆง่ายๆเกินไป
หรือว่าใครบางคนอาจจะใช้ชีวิตอยู่คนละคลื่นความถี่กับเรา
เราว่าเรามีเหตุผลและซื่อตรงต่อความรู้สึกมากๆเลยนะ
หรือว่าจริงๆแล้วเราไม่ควรจะทำเช่นนั้น
เราอาจจะใจดีเกินไปก็ได้


ถ้วยก็เล่าให้ฟังเรีื่องแฟนมัน
แอบไปคุยอี๋อ๋อกับสาว
แล้วมันไปแอบอ่าน
มันบอกว่า อ่านแล้วจี๊ดเลย
ส่งแมสเซสไปเคลียร์ทันที
แต่แฟนมันแม่มดันอ้างโน่นอ้างนี่
จนโดนโกรธนั่นแหล่ะ
ก็พูดไปตรงๆว่าไม่มีอะไรแต่แรกก็หมดเรื่อง
แอบสมน้ำหน้า
ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากๆก็ไม่รู้
สงสัยจะว่างงานจัดไม่มีอะไรทำ

เห้อ....

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

could you leave me with a scar?

He left a card and a bar of soap with
scrubbing brush next to a note,
That said "use these down to your bones".
And before I knew I had shiny skin and
it felt easy being clean like him,
I thought "this one knows better than I do"

A triangle trying to squeeze through a circle
He tried to cut me so I'd fit

And doesn't that sound familiar?
Doesn't that hit too close to home?
Doesn't that make you shiver; the way things could've gone?
And doesn't it feel peculiar that everyone wants a little more. So that I do remember to never go that far,
Could you leave me with a scar ah-ah?

So the next one came with a bag of treats,
She smelled like sugar and spoke like the sea
She told me don't, trust them trust me.
Then she pulled at my stitches one by one,
Looked at my insides clicking her tongue,

And said "This will all have to come undone".

A triangle trying to squeeze through a circle,
She tried to blunt me so I'd fit.

And doesn't that sound familiar?
Doesn't that hit too close to home?
Doesn't that make you shiver;
the way things could have gone?
And doesn't it feel peculiar,
that everyone wants a little more?
So that I do remember to never go that far,
Could you leave me with a scar?

I think I realized just in time,
about my old self was hard to find.
You can bathe me in your finest wine but I'll never give you mine.
'Cos I'm a little bit tired of fearing that
I'll be the bad fruit nobody buys,
Tell me, did you think we'd all dream the same?

And doesn't that sound familiar?
Doesn't that hit too close to home?
Doesn't that make you shiver;
the way things could have gone?
And doesn't it feel peculiar
that everyone wants a little more?
so that I do remember to never go that far,
Could you leave me with a scar?
could you leave me with a scar? ah-ah-ah.

could you leave me with a scar?




ชอบเนื้อเพลงจัง

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เดินไปให้สุดทาง บางทีที่นั่นอาจจะมีคำตอบ

เคยคุยกะแทมมี
บอกว่าตอนนี้แม้จะไม่มีใคร
เราก็คงอยู่ได้
แทมมีบอกเราว่า
อยู่ได้น่ะมันอยู่ได้
แต่อยู่อย่างมีความสุขหรือเปล่า
เราตอบว่า
เราก็ไม่รู้
อาจจะดีกว่านี้
หรือแย่กว่านี้
แต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่


มันมีด้วยเหรอ
ของในโลกที่จะยืนยง
ไปมากกว่าความเปลี่ยนแปลง



ในเมื่อตัดสินใจแล้ว
หากไม่ทำตามที่ตัดสินใจ
เท่ากับไม่เคารพตัวเอง
เดินไปให้สุดทาง
บางทีที่นั่นอาจจะมีคำตอบ

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แป๊ะอารายเนี่ย

นั่งอ่านเปเปอร์นึง
เขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่องอย่างแรง
พอเลื่อนขึ้นไปดู
อ่าว คนเขียนอยู่เมกานี่
กลับไปอ่านอีกรอบ
ชิท... อ่านไม่รู้เรื่อง
เราอ่านอันอื่นรู้เรื่องนะ
แต่อันนี้ดูเหมือนจะเข้มคลั่ก
แบบต้องใช้สติสัมปชัญญะอย่างแรง
(ไม่มีสินะ)
เลยกลายเป็นว่า
ไม่อ่านมันแระ...

บางทีการพรีเซนต์ก็เป็นส่วนสำคัญของผลงาน
คำพูดที่ลึกซึ้งถ้าไม่เข้าถึงผู้ฟัง
ก็กลายเป็นคำพูดที่ลึกไปจนเอื้อมไม่ถึง

แต่ก็น่ากลัวอยู่ว่า
คนบางพวกถนัดแต่พรีเซนต์
พรีเซนต์จนดูดี
ทั้งๆที่ข้างในก็งั้นๆ
ในขณะที่ของดีดี
ที่ไม่ถูกพรีเซนต์
ก็ถูกทิ้งไว้อย่างไร้ค่า
เขาถึงว่าใช้ชีวิตต้องมีศิลปะ(บ้าง)
แต่ถ้ามีศิลปะมากไป
จะกลายเป็นสร้างภาพ

(ไม่ค่อยอินกะพวกสร้างภาพเท่าไหร่
พอได้รู้ความจริงแล้วเหมือนถูกหักหลังยังไงไม่รู้ว์)

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คนดี

คนดีก็มีข้อดีข้อเสียในแบบของคนดี
คนเลวก็มีข้อดีข้อเสียในแบบของคนเลว

ถ้ามองเห็นว่าสองบรรทัดข้างบนน่ะไม่จริง
แสดงว่าคุณกำลังมองโลกด้านเดียวอยู่หรือเปล่า

เพราะโลกไม่ได้มีแค่ดำกับขาว
แม้แต่เทายังมีหลายเฉดสี
นับประสาอะไรกับมนุษย์
ที่เปลี่ยนแปลงและแย้งย้อน
เรามีความยุติธรรมพอที่จะตัดสินใครต่อใครได้หรือ
เราเป็นผู้พิพากษามาจากศาลฎีกาหรืออย่างไร
เราถึงสามารถกำหนดโทษให้ใครต่อใครได้
คนที่เราบอกว่าดี เป็นเพราะเรารู้จักเขาแค่เพียงเสี้ยวเดียว
ส่วนคนที่เราคิดว่าเขาเลว เป็นเพราะเขาทำอะไรให้เราไม่พอใจ
ก็เป็นได้ทั้งนั้น

มิพักถึงการบอกว่าคนนี้ฉลาดหรือโง่
เคยได้ยินคำพูดที่ยกมาจากคำพูดของไอสไตน์
ประมาณว่า
ถ้าเราเอาทักษะปีนต้นไม้มาเป็นเกณท์วัดความฉลาด
ปลานี่จัดว่าโง่เลยนะ
เราว่าคนฉลาดกับคนโง่อาจจะไม่มี
มีแต่คนที่คิดกับไม่ยอมคิด
คนที่พยายามเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
หรือไหลไปกับกระแสของชีวิต
เราเชื่อว่าคนเราเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้
และกำลังพิสูจน์ความเชื่อนั้นอยู่
เราไม่ได้หวังจะเป็นคนดี
เพราะเราไม่มีทางเป็นคนดี
ในสายตาของคนทั้งโลกได้
มันต้องมีคนไม่พอใจ หมั่นไส้ หรือเข้าใจผิดเราได้

เพราะโลกเรามีหลายสี
ประสมปนเปกันไป
ไม่ว่าจะเกลียดสีไหน
มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีพ้น

/อาแมว

ชัด

ถ้ามองอะไรไม่ชัด
ให้ลองถอยมาไกลๆ
แล้วค่อยเดินเข้าไปเรื่อยๆ
เราจะค่อยๆมองเห็น
ว่าจุดที่ชัดที่สุดอยู่ตรงไหน

เรื่องนี้ใช้ได้ทั้งในการดูงานศิลปะ
การรักษาระยะของความสัมพันธ์
และการแก้ปัญหา

บ่อยครั้งที่เรามองปัญหาใหญ่เป็นปัญหาเล็ก
และให้ค่ากับปัญหาเล็กๆ ว่าใหญ่เท่าช้าง
ทำให้เราแก้ปัญหาผิดวิธีการ
หรือทำให้ปัญหามันขยายใหญ่โต
ถ้าเราลองมองปัญหาจากหลายๆมุม
หลายๆระยะ บางทีอาจจะพบว่ามันไม่ใช่ปัญหา
หรือปัญหานี้ไม่ยากหรอกที่จะจัดการ

ในความสัมพันธ์ก็เช่นกัน
คนบางคนก็อยู่ใกล้เราได้ในระดับหนึ่ง
เหมือนกับอะตอมของธาตุต่างๆ
ซึ่งมีขนาดของรัศมีจำเพาะ
ในการรวมตัวของอะตอมเกิดเป็นโมเลกุลของสารต่างๆ
จะมีระยะทางที่จำเพาะระหว่างอะตอม
หากไกลกันมากเกินไป
อะตอมสองอะตอมก็ไม่สามารถสร้างพันธะได้
แต่ถ้าใกล้กันเกินไป
ประจุบวกที่อยู่ตรงกลางก็จะผลักกัน
สองอะตอมนี้จะต้องมารวมตัวกัน
อยู่ในจุดที่พอดิบพอดี
ถึงจะเกิดเป็นโมเลกุลของสาร
เหมือนที่ไฮโดรเจร(ก๊าซ)มารวมตัวกับออกซิเจน(ก๊าซ)
แล้วเกิดเป็นน้ำ(ของเหลว)


บางทีการมองเห็นและเข้าใจอะไรสักอย่าง
คงไม่ใช่แค่การจ้องลงไปในสิ่งนั้นอย่างไม่ลดละ
แต่อาจจะเป็นการสังเกตไปรอบๆ
มองสิ่งนั้นในมุมต่างๆ
ทั้งจากทางไกลและใกล้
แล้วเราอาจจะเข้าใจธรรมชาติ
และมองเห็นความเป็นจริงได้ชัดเจนขึ้น

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

loose - tight

เวิ่นเว้อมาร่วมอาทิตย์ตั้งแต่กลับมา
จึงตัดสินใจว่า
จะเล่น FB แค่ช่วงเวลาเช้าอย่างเดียว
มันควรจะได้เวลาเร่งเครื่องแล้วเนอะ ^ ^'''
เร่งบ้างผ่อนบ้างตามอัธยาสัย

ตอนแรกเราว่าจะรีบจบ
แต่เห็นมีซิมโพเซียมที่บาหลีเดือนเมษาปีสองพันสิบสาม
แล้วก็มีที่ฟลอริดาปีสองพันสิบสาม เดือนไหนไม่ีรู้
ถ้ายังเป็นนศ.อยู่ จะได้ขอทุนเดินทางได้ง่ายๆ
เอาเป็นว่ารีบเรียนก่องละกัน
เผื่อแลบไม่ออก 555++







เฮ่อ.. ทำไมปวดท้อง ท้องเสียบ่อยขนาดนี้
แล้วก็ชอบป่วยเพราะไม่ได้ทำกินอาหารตัวเองด้วยนะ
แต่ก็ขี้เกียจปรุงอาหารเองมั่กๆ
เมื่อกลางวันก็ลงไปสลบบนเตียงเพราะท้องเสีย
เราว่าีร้านเบรดทอป สาขาในเมือง ต้องใส่อะไรแน่ๆ
ทำเราท้องเสียมาสองรอบแล้ว
ตอนแรกนึกว่าผวาไปเอง แต่เราว่าใช่ง่ะ

เห้ออ..

ฝัน

ฝันว่าฟันหลุดไปสี่ซี่ แต่ไม่ได้เจ็บอะไร
เค้าบอกว่าฝันไม่ดี
เฮ่อ.. น่าจะมีเลขประกอบการแทงหวย
:P

เคยมีเพื่อนอยู่คนนึง
ฝันเกี่ยวกับคนที่มันชอบ
แล้วเอามาตีความเป็นตุเป็นตะ
เล่าให้เราฟังเป็นชม.ๆ
เรานั่งฟังไปทำไมก็ไม่รู้
แล้วก็มานั่งจิตตกว่าเค้าจะอะไรยังไงกะมัน
สงสัยมันหวังว่าความฝันจะบอกอะไรมันได้บ้าง

แต่เราควบคุมความฝันไม่ได้นี่นะ
แล้วถึงเราจะตีความอะไรได้
แต่เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
ตามเงื่อนไขของเวลา
และความเป็นไปของสิ่งนั้นๆ
เราก็แค่ต้องทำใจยอมรับมัน
ก็เท่านั้นเอง
(แต่ตอนที่ต้องทำใจยอมรับ
มันไม่เท่านั้นเองอย่างที่พูดเท่าไหร่ใช่ไหม? 555)

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ครอบครัว

เราบอกกับเพื่อน
และเชื่อเองด้วยว่า
การแต่งงานอาจเป็นคนละเรื่องกับความรัก
จะมีคนโชคดีสักกี่คนที่ได้แต่งงานกับคนที่เรารัก
และรักเรา

เมื่อวานพี่ผู้หญิงเจ้าของร้านที่เราทำงานด้วย
เข้าร้านมาแล้วก็บอกว่า นัท วันนี้พี่อารมณ์ไม่ดีนะ
เราก็ค่ะๆ ได้แต่ยิ้มให้เฉยๆ ไม่ได้ถามอะไร
แล้วพี่เค้าก็บ่นว่าแฟนเค้าจะตัดกิ่งต้นไม้ที่เค้าปลูก
แล้วมีนกมาทำรังเต็มเลย
เค้าบอกว่า ถ้าตัดมีเลิกกัน
แล้วเค้าก็บ่นเม้งๆไปตามเรื่อง

พี่เค้าสองคนก็อยู่กันมาสิบสี่ิสิบห้าปีแล้ว
แต่รสนิยมหลายอย่างคนละเรื่องกันเลย
ตลกดีนะ ที่ก็อยู่ด้วยกันจนมีลูกเต้า
เราไม่ค่อยเข้าใจระบบความสัมพันธ์ของครอบครัวสักเท่าไหร่
เพราะโตมากับแม่สองคน
แม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน เลยหนักไปทางอยู่กับตัวเองบ่อยๆ
ซึ่งก็ทนตัวเองไม่ค่อยได้บ้างในบางครั้ง
จนบางทีนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าครอบครัวเป็นไง
บางครั้งเวลาไปเชงเม้งกับญาติๆ
ตัวเองก็งงๆ เพราะไม่รู้สึกสนิทกัน
ก็จะมาช่วงหลังๆ ที่เริ่มสนิทกับพี่ชาย
แล้วก็พี่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง
แต่ก็ยัง งงๆ ในตัวเองอยู่บางหน
เหมือนกับเวลานั่งเก้าอี้ลมอ่ะ
ไม่ได้วางใจหรือสนิทใจร้อยเปอร์เซนต์

พี่บอกว่า ตาเราเศร้าลึกๆ
สงสัยจริง
จริงที่ว่าการเลี้ยงดูมีผลต่อทัศนคติลึกๆ
แต่ก็นะ เราก็ไม่ได้บ่นโทษอะไรใครหรอก
ก็แค่รับรู้ว่า อ้อ เราเป็นอย่างนี้

เราบอกกับเพื่อนว่า
เราจะรักใครก็ได้
แต่บางทีจะแต่งงานกับใคร
มันต้องใช้อะไรที่มากกว่าความรัก
ทั้งสังคม กรอบประเพณี ความเชื่อ
เพราะบางทีการที่เรามาอยู่ร่วมกัน
มันมีผลกระทบมากกว่าคนแค่สองคน

เราเห็นมาหลายครั้ง ที่บิลค่าน้ำค่าไฟค่าผ่อนรถดาว์นบ้าน
ลูกที่ร้องกระจองงองแง รถติด น้ำท่วม
พ่อไม่สบาย แม่ยายป่วย
มันทำให้การแต่งงานมีอะไรที่มาก(ๆๆๆ)ไปกว่าความรัก

บางทีเราก็กลัว การอยู่กับคนนะ
(ตรงข้ามกับผู้หญิงส่วนใหญ่สินะ ที่กลัวจะอยู่คนเดียว)
ก็ตลกดี XD




วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฉันเป็นคนของที่นี่ เวลานี้

เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ยังบ่นอยากกลับบ้านอยู่เลย
แต่จู่ๆ ก็รู้สึกมีความสุขมากที่อยู่ที่นี่
รู้สึกว่าอยากทำงานนี้ อยากทำให้เสร็จ
มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่
เหมือนตอนเรียนม.ปลาย เรียนมหาลัย
มันไม่ใช่อาการไฟลุกเพราะแรงบันดาลใจ
เหมือนกับมองเห็นว่า
สิ่งที่ทำอยู่นี่ดีนะ ที่ที่เราอยู่ก็มีความสุข
เหมือนอยู่ในจุดที่พอใจในตัวเองมาก
ตอนที่เราแก้สไลด์สำหรับพรีเซนต์เสร็จ
แล้วรู้สึกพอใจกับสไลด์มาก
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับการที่ทำข้อสอบ
แล้วรู้คำตอบของคำถามนั้น
ตอนเราเรียน เวลาที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่ตอนบอกคะแนน
แต่เป็นตอนที่เราออกจากห้องสอบ
แล้วเขียนสิ่งที่อยากเขียนส่งลงบนกระดาษคำคอบแล้ว
ตอนที่ไม่ตั้งใจเรียน
มองช่องคำคอบที่ว่าง
มันทำให้รู้เลยว่าตัวเองว่างเปล่ายังไง
(คือไม่ได้รู้สึกว่ากลวงแค่ที่หัว
คือกลวงเปล่าไปทั้งตัวเลยก็ว่าได้)
จุดที่ดีที่สุดสำหรับเรา
ก็คือจุดที่เราพอใจ
ส่วนมากเวลาได้รู้ผลคะแนน
จะรู้สึกเฉยๆ ไม่ก็ตกใจว่าทำไมเพื่อนทำไม่ได้วะ -_-''
นานๆจะตื่นเต้นที น้อยมากๆเลยง่ะ :P
คงเพราะเราทำสิ่งที่ต้องทำเต็มที่แล้ว พอใจแล้ว
ก็จบ.. ไม่ต้องคาดหวังไร
ที่ผ่านมาเรากินความคาดหวังเป็นอาหาร
มันเลยไม่อยู่ในจุดที่อิ่มเสียที
เพราะเราสามารถหวังไกลกว่าสิ่งที่เราเป็นได้เสมอ
จำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
จู่จู่ก็กลายเป็นว่า กลับมาอยู่ในจุดที่พอใจ
อาจจะหลงไปกับสปอตไลท์อยู่พักใหญ่มั้ง

สิ่งที่ต้องทำตอนนี้
1 อะนาไลซ์ผลแลบ ในจุดที่สามารถนำลงตีพิมพ์ได้
2 ทำโปสเตอร์พรีเซนต์ช่วงสิ้นเดือนนี้
3 เขียน Manuscript ผลแลบให้เสร็จ ภายในสิ้นปีนี้

จะเห็นได้ว่า... งานเยอะเหี้ยๆค่ะ
และปีหน้า ต้องปิดอีกสองโปรเจกส์ ถ้ายังหวังจะจบสิ้นปีหน้า
(ไม่สิ ควรพูดว่า ถ้ายังหวังจะเรียนจบ แบบไม่ต้องนั่งเย็บเล่มวันก่อนกลับ)

(หรือที่ฉันกลับมาตั้งใจทำงาน เพราะสำเหนียกได้ว่าใกล้ม้วยแล้ว? ฮ่าๆๆ) XD

มองออกไป

เพื่อนเราอกหักและบ่นกับเราว่าไม่อยากทำอะไรอีกเลย
(ก็บ่นแบบคนอกหักบ่นนี่แหล่ะ)
เราก็ขอเพื่อนเราแค่ข้อเดียว
คือขอให้ดำเนินชีวิตตามปรกติ
ทำสิ่งที่ต้องทำ เข้าห้องเรียน ทำการบ้าน กินอาหาร
ไม่ว่าจะรู้สึกแย่แค่ไหน
ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
เหมือนเวลาที่เราไม่อยากลุกไปไหน
ในที่สุดเราก็ต้องเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ กินอาหาร
เพราะเรายังไม่ตาย
เราบอกเพื่อนว่า
อย่างน้อยตอนนี้เสียใจอยู่แล้ว
แต่ถ้าไม่ทำสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้
คราวนี้จะมีปัญหาที่แก้ไม่ตกตามมามากมาย
เพื่อนเราก็บ่นนิดหน่อยว่ามันไม่เข้มแข็งอย่างนั้น
เราก็บอกว่า ขอให้ลองทำ
บางที ในวันที่เราเศร้าสุดๆ
เราก็ต้องออกไปทำงาน
ออกไปทำสิ่งที่ต้องทำ
แม้จะเสียใจก็เก็บน้ำตาเอาไว้ข้างใน
แล้วเดี๋ยวเราจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น
เราบอกเพื่อนว่าเราลองมาหมดแล้ว
หมกตัวอยู่ในห้อง
ครุ่นคิด ถึงขั้นเกือบจิตหลุด
วิธีที่ดีที่สุดคือให้ออกมาเดิน
เดินข้างนอก
ทำสิ่งที่ต้องทำ

เพื่อนเราก็ยังดีที่ไม่ดื้อ
หลังจากโดนด่ากราดไป
ก็หันมากินข้าวบ้าง
(หลังจากมันไม่กินอะไรเลยสองวัน)
แล้วก็ออกไปเรียนอย่างที่โดนด่าให้ไปทำ
(ไอ้พวกนี้มันซาดิสม์แน่ๆ ชอบให้ด่า)

เมื่อสองวันก่อนเพื่อนเราก็โทรมา
เพื่อนเราบอกว่า ตอนที่มันเดินๆอยู่ข้างนอก
อยู่ดีดีก็คิดได้ว่า ที่ที่มันควรอยู่ก็คือที่นี่(หมายถึงที่ๆมันไปเรียน)
แล้วก็มีงานข้างหน้ารอให้มันทำตั้งมากมาย
(เราคิดว่า เพื่อนเราเริ่มคิดได้ แล้วเริ่มเสียดายเวลา
และสุขภาพจิต กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น)
เพราะตอนที่เราโทรศัพท์คุยกับมัน
เราบอกว่า เราอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
แต่พอออกไปเดินข้างนอก
จู่จู่ เราก็จะรู้สึกถึงชีวิต
รู้สึกว่า นี่แหล่ะคือชีวิต
คือการเดินไป และทำสิ่งที่ต้องทำ
อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
เหมือนจะเป็นการเปลี่ยนผ่านทัศนคติอะไรสักอย่าง
แล้วเราก็เหมือนตื่นขึ้นมา
แล้วเข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต

โลกนี้มันมีอะไรมากกว่าความรัก มากกว่าความสำเร็จ มากกว่าความโด่งดัง
อะไรสักอย่างที่มันจับต้องไม่ได้ เหมือนแสง..
มันจับต้องไม่ได้ แต่ส่องให้เห็นโลก
แล้วเราก็ยังคงเดินต่อไป.. และหายใจอยู่