วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิถีเป็ด

วันนี้ขณะนั่งทำงาน เห็นเพื่อนที่แลบกำลังวิ่งวุ่นหาของ
ฉันเลยถามว่า เธอดูยุ่งๆนะ
เธอหันมาพูดเร็วๆว่า ก็ยุ่งพอๆกับทุกๆคนแหล่ะ
พอหาของเสร็จ เธอก็เดินหายไป
ฉันก็ยิ้มกับตัวเองแล้วคิดว่า
ฉันเนี่ยแหล่ะที่ไม่ยุ่ง

ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีงานมีการทำนะ
แล้วก็ไม่ใช่ว่าฉันกำลังอู้งานด้วย
เพราะขณะถามเธอ ฉันก็นั่งทำงานของฉันอยู่
แต่ฉันไม่ได้ยุ่งมาก เพราะฉันไม่ได้รีบไปไหน

ฉันชอบดูเป็ดที่สวนใกล้ๆห้องแลบที่ฉันทำงาน
ชอบดูพวกมันเดินไปมาหาอาหาร
ชอบดูพวกมันนั่งเล่นอาบแดด
บางทีพวกมันก็ลงไปดำน้ำ
หรือบางทีก็หดหัวแล้วก็นั่งเฉยๆ
ดูพวกมันจะมีชีวิตที่มีความสุขมากมาย
ไม่ต้องรีบไปตามนัด ไม่ต้องรีบทำงาน
ไม่ต้องมีภาระผ่อนบ้านผ่อนรถ
ไม่ต้องพยายามทำอะไรที่วิเศษวิโสกว่าเป็ดธรรมดาตัวหนึ่ง
ชีวิตของเป็ดจึงน่าอิจฉาสำหรับฉันมาก
แต่ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า พวกเป็ดจะยินดียินร้ายหรือไม่
ที่มีมนุษย์เดินสองขาอย่างมันมาแสดงความอิจฉาในวิถีชีวิตแบบเป็ดเป็ดอย่างพวกมัน

ตอนนี้ฉันพยายามใช้วิถีเป็ดในการดำเนินชีวิตอยู่
ก้าวช้าๆ ร้องก๊าบๆเมื่อมีความสุข กินเมื่อรู้สึกหิว
ลงดำน้ำเมื่อรู้สึกสนุก นอนเมื่ออยากนอน อาบแดดเมื่ออยากพักผ่อน
ไม่ต้องรีบหาอาหาร ไม่ต้องรีบทำงานหาเงิน แล้วรีบนำเงินไปจับจ่ายซื้อสินค้า
ไม่ต้องเร่งให้เป็นที่หนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกยุคไม่ทันแฟชั่น
สนุกเมื่ออยากสนุก และยิ้มเมื่ออยากยิ้ม


เราเห็นสิ่งที่เราคิดถึง

วันนี้เดินผ่านสวน มีเป็ดเยอะแยะนั่งเล่น นอนเล่น เดินเล่นหาอาหาร
ขากลับมีเป็ดคู่หนึ่งเดินอยู่บนกำแพง
ฉันเดินไปพลางบ่นกับเพื่อนว่าพวกเป็ดนี่น่าสบายจริงๆ
เพื่อนฉันทำเสียงฟึดฟัด ฉันเลยถามว่าทำไม อิจฉาเป็ดที่มันเดินกันเป็นคู่เหรอ
เพื่อนฉันบอกว่า เปล่า รู้สึกหิวมาก พอเห็นเป็ดแล้วหิวอยากกินเป็ดย่าง

ฟังดูแล้วก็ตลกดี
คนหนึ่งเห็นเป็ดแล้วรู้สึกอิจฉาที่พวกมันเนี่ยสบายดีจริงๆ
ส่วนอีกคนเห็นเป็ดแล้วหิว อยากหักคอมันมาทำเป็ดย่าง
ทั้งทั้งที่สองคนนี้เดินมาด้วยกัน
แต่คนหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง อีกคนคิดอีกอย่างหนึ่ง
เพราะถึงจะเดินร่วมทางกัน
แต่สิ่งที่คิดถึงกลับเป็นคนละอย่างกัน

เชื้อปัญหา

บางคนที่เป็นหนี้
ก็พยายามแก้ปัญหาด้วยการเก็บหอมรอมริบรายได้
และลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ
เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือมาใช้หนี้
แต่อีกหลายหลายคนก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม
พอถึงเวลาไม่มีจ่ายก็ไปกู้เงินจากอีกแหล่ง
มาโปะหนี้ก้อนเดิม
คราวนี้มีหนี้ทั้งก้อนเดิม ก้อนใหม่
โปะจ่ายไปจ่ายมาใช้หนี้กันไม่จบไม่สิ้น

การแก้ปัญหาสำหรับบางคนอาจจะทำให้ปัญหาเบาบางลง
แต่สำหรับบางคนอาจจะทำให้ปัญหาหนักขึ้น


หลายครั้งที่เรารู้สึกเหงา
เราก็พยายามหาคนคุยด้วย
แต่พอคุยเสร็จ
กลายเป็นว่าเหงายิ่งกว่าเดิม

บางครั้งเราเบื่อไม่มีอะไรทำ
เราก็พยายามออกไปซื้อของจับจ่าย
กลายเป็นว่าบางทีก็ซื้อของที่ไม่ได้ใช้กลับมา

บางครั้งเราเครียดเรื่องงานเรื่องชีวิต
เราก็หยิบขนมขบเคี้ยวเข้าปากไม่ยั้ง
กลายเป็นว่าต่อมาก็เครียดเรื่องอ้วนอีกอย่างหนึ่ง



สิ่งที่เป็นตัวแปรที่ทำให้ปัญหาเล็กลงหรือใหญ่ขึ้น
อาจจะอยู่ที่การทำตามใจตัวเองหรือทำสิ่งที่ควรทำ
บางทีเราก็รู้กันทั้งนั้นว่าอะไรคือสิ่งที่ควรหรือไม่ควร
แต่กลายเป็นว่าปัญหาจะชอบมากองมะรุมมะตุ้มรุมรักชีวิตเรา
และสามารถเพิ่มจำนวนตัวเองขึ้นมาได้เรื่อยๆ
ราวกับเชื้่อแบคทีเรียที่แบ่งตัวอย่างไม่จบไม่สิ้น

ยาฆ่าเชื้อปัญหาที่ดีที่สุดคงเป็นการยับยั้งชั่งใจและใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
เพราะอารมณ์ถือเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อปัญหาเชียวล่ะ





วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปีกนางฟ้า

"นางฟ้า ทำไมถึงจะทิ้งปีกล่ะคะ"
"เพราะว่าการเดินบนพื้นดิน ไม่จำเป็นต้องใช้ปีกไงล่ะจ๊ะ"
"แต่ปีกเป็นสิ่งที่พิเศษมากเลยนะคะนางฟ้า มันทำให้คุณบินไปไหนมาไหนก็ได้"
"แต่ปีกก็ไม่มีประโยชน์ถ้าจะใช้เท้าเดินบนพื้นดินใช่ไหมล่ะจ๊ะ"

นางฟ้าหันมายิ้มให้ฉัน
ก่อนที่ฉันจะลืมตาตื่นขึ้นมา




นกเพนกวินยอมทอดทิ้งทักษะการบิน
เพื่อให้มันสามารถลงไปว่ายน้ำจับปลาได้
โลมาสลัดเปลี่ยนขาหลังเป็นครีบ
ทำให้พวกมันสามารถว่ายน้ำได้
ตัวตุ่นบางชนิดตาบอดเพราะมันอยู่แต่ในรูที่มีแต่ความมืด
แต่มันก็มีเท้าหน้าที่แข็งแรงและจมูกที่ว่องไว

แม้ปีกจะเป็นสิ่งพิเศษที่สุด
แต่สำหรับการเดินบนพื้นดินนั้น
ปีกก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าส่วนเกินและสิ่งประดับ


ไม่ว่าใครจะบอกว่ามันน่าเสียดายเหลือเกิน
ที่จะทอดทิ้งโอกาสดีดีหรือบางสิ่งที่แสนพิเศษไป
ไม่ต้องเสียดายหรอก
หากว่าสิ่งนั้นมันไม่จำเป็นสำหรับเราแล้ว
ก็ทิ้งมันไปเถอะ


หมดอายุ

วันนี้เดินไปยืมหนังสือที่ State library
เดินผ่านส่วนของซีดีเพลง
เดินดูซีดีหลายอัลบัมที่เคยอยากได้สมัยเด็กๆ
เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว
ตอนนี้หยิบมันขึ้นมา แล้วยิ้ม
แล้ววางมันกลับไปที่เดิม
น่าแปลกที่ของบางอย่าง
เราอยากได้มันเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป
ความรู้สึกอยากได้มันก็มลายหายไปหมด

แต่ความจริงข้อนี้อาจใช้ไม่ได้กับสิ่งของหลายๆอย่าง
เพลงบางเพลงเราอาจจะฟังอย่างไม่เคยเบื่อ
หนังสือบางเล่มเราอาจจะเปิดอ่านได้อย่างไม่จบไม่สิ้่น
รูปบางรูปเราอาจจะเห็นว่ามันสวยเสมอ


คล้ายคล้ายกับความรัก
ความรักของคนบางคนมีอายุแสนสั้น
แต่กับหลายหลายคน ความรักดูเหมือนจะเป็นของที่ไม่สิ้นอายุขัย



วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตื่น

เราทำงานและใช้ชีวิตอยู่ ก็เฉพาะเวลาที่เราตื่นเท่านั้น
อย่ามัวแต่ฝันอย่างเดียวนะ :)

สารที่ไม่ได้สื่อ

การเขียนโปสการ์ดหรือจดหมายนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับฉัน
โดยเฉพาะตอนที่เริ่มเขียน ฉันรู้สึกว่ากระดาษนั้นกว้างเท่าสนามฟุตบอล
แต่พอเขียนไปได้ครึ่งหนึ่ง บางครั้ง ฉันรู้สึกว่ากระดาษนั้นกว้างขึ้น
เพราะหมดเรื่องที่จะเขียนแล้ว
แต่ในขณะที่บางที กระดาษนั้นก็ดูเล็กลง จนต้องบีบอัดตัวอักษรลงไป

มีเพื่อนฉันคนหนึ่ง เวลาเธอส่งโปสการ์ดมาให้ฉัน
มักจะปะแสตมป์ทับข้อความตัวเองเสมอ
ฉันไม่แน่ใจว่าเธอเป็นพวกขี้ลืมว่าต้องปะแสตมป์
หรือจริงๆแล้ว แค่เขียนสิ่งที่อยากเขียนบนกระดาษ
โปสการ์ดใบนั้นก็สมบูรณ์สำหรับเธอแล้ว
ส่วนคนรับจะเข้าใจมันหรือไม่ก็ไม่สำคัญอะไรกับเธอ
แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณที่เธอไม่เคยลืมเขียนที่อยู่ฉัน
อย่างน้อย ฉันก็ได้รับมันทุกฉบับ
แม้ว่าจะอ่านได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
แต่ก็ทำให้รู้ว่า เธอมีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังมากมาย
จนเนื้อที่กระดาษไม่พอ


หลายครั้งที่โปสการ์ดของฉันไปไม่ถึงมือผู้รับ
ฉันเคยสงสัยเหมือนกันว่าโปสการ์ดพวกนั้นไปตกหล่นอยู่ที่ไหน
มันถูกส่งไปผิดบ้าน หรือถูกรวมไว้ที่ทำการไปรษณีย์
บางทีมันอาจจะหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง

























สมมติว่าถ้าโลกนี้มีห้องโถงใหญ่เอาไว้เก็บข้อความต่างๆที่ไปไม่ถึงมือผู้รับ
ในแต่ละนาทีคงมีข้อความมากมายหลายหมื่นหลายแสนข้อความถูกนำเข้ามาเก็บในโกดัง
และคำว่า"รัก"คงเป็นข้อความลำดับต้นๆเลยกระมังที่ไม่ได้ถูกบอกออกไป

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฝนตกที่ดวงใจ

วันนี้เข้าไปอ่านเวบของคุณวินทร์มา
บทความจะถูกอัพเดททุกวันเสาร์
อาทิตย์นี้ชื่อบทความว่า “แล้วไงล่ะ?”
พูดถึงเรื่องของผู้ชายจีนคนหนึ่ง
เขาไม่มีแขนทั้งสองข้าง
แต่ได้ขึ้นเวทีประกวด China's got talent
เขาโชว์เล่นเปียโนโดยใช้เท้า

ขอยกตอนที่ชอบขึ้นมา


<< คนเหล่านี้เลือกที่จะพูดว่า “แล้วไงล่ะ?” แทนที่จะเป็น “ไม่เอาแม่ งแล้วโว้ย! ตายดีกว่า” ไปต่อหรือไม่ไปต่อขึ้นกับทัศนคติของเราเองว่าจะใช้เกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง “แขนไม่อยู่แล้ว แล้วไงล่ะ?” “นัยน์ตาเสียไปแล้ว แล้วไงล่ะ?” “เท้าหายไปแล้ว แล้วไงล่ะ?” “อีกสองเดือนก็ตายแล้ว แล้วไงล่ะ?” ‘แล้วไงล่ะ?’แปลว่าก ูยังคิดที่จะมีชีวิตอยู่! ขอเวลาก ูคิดหน่อย แต่จะเดินหน้าไปแน่โว้ย! หลิว เหว่ย ใช้เกียร์เดินหน้า >>


อ่านทั้งหมดแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่เราไม่ได้มองย้อนกลับไป
ยังหลายๆคนที่ไม่เคยหยุดพยายาม
ไม่เคยจะท้อเลยสักวัน
แม้ว่าการก้าวแต่ละก้าวของพวกเขา
จะยากลำบากกว่าเราเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
มันเหมือนกับที่ฉันวิ่งในสนาม
แต่วิ่งไปได้หน่อยก็เบื่อ
บ่นกับชีวิตไม่หยุดหย่อน
แล้วพอเหลียวมองคนพวกนี้ที่เขาไม่เคยหยุด
ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวของพวกเขา
ได้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ยอมแพ้ในใจฉัน
เมล็ดพันธุ์พวกนี้กำลังงอกงามผลิดอก
และบอกกับตัวฉันว่า
พรุ่งนี้เรามาสู้ด้วยกันนะ :)



กระเป๋าใหม่

เคยวาดสับปะรดในคาบ Scientific Illustration
เลยเอามาวาดลงกระเป๋าเลย (ด้วยความขี้เกียจ)
ถุงผ้า ราคา 2.50 ดอลล่าร์ออสเตรเลีย
ปากกา ยูนิบอล (มันบอกว่ากันน้ำ ก็เชื่อมัน แต่ตะกี้ลองเอาน้ำแตะๆ หมึกไม่ละลายแฮะ)
:D ดีใจ... ไว้จะซื้อมาวาดเล่นอีก เย่!!



จาก no rain on the moon

ฝัน

เมื่อคืนฝันว่าตัวเองได้ทุน
แล้วเดินทางไปเซ็นสัญญารับทุน
รู้สึกดีใจมากเลยที่ได้ทุนแล้ว
ดีใจที่จะได้ไปต่างประเทศ
ดีใจที่ได้เดินตามความฝัน

พอตื่นขึ้นมาก็พบว่า

เฮ้ย ฉันอยู่นี่แล้ว
ได้มาแล้วไง
แล้วตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่

ไร้นาม

ต้นไม้ที่ไร้นาม ผลิดอกได้แม้ไม่มีใครเห็น
นกที่ไร้ชื่อ กู่ร้องได้แม้ไม่มีใึครฟัง
คำนามมีไว้ เพื่อให้มนุษย์ใช้เท่านั้น

ไม่ลืมตัว

เวลาที่วาดรูป เราจะใส่อะไรในรูปที่เราวาดก็ได้
เราอยากจะวาดผู้หญิงมีหูแมวหรือจมูกหมู เราก็วาดได้ทั้งนั้น
หรือเราจะระบายสีดอกกุหลาบเป็นสีดำ ดอกชบาสีม่วงก็ทำได้

น่าแปลกที่หลายๆครั้งเราก็ทำตัวเหมือนรูปวาดบนกระดาษ
มีใครไม่รู้วาดอะไรเติมลงไปเต็มไปหมด
ทั้งความคิดเห็น คำสรรเสริญเยินยอ และถ้อยคำดูถูกเหยียดหยัน
รวมทั้งความคาดหวังที่พวกเขาใฝ่หา
จนบางทีเราก็ลืมไปแล้วว่าแต่เดิมเราเป็นอย่างไร



หลายครั้งที่ฉันคิดว่าฉันสูญเสียตัวตนไป
แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าฉันตั้งใจจะทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้เพราะอะไร
หลายคนมีปากกาแห่งความคาดหวัง
ดินสอแห่งความคิดเห็น
มาคอยขีดเส้น วาดภาพคนอื่น
แม้ว่าใครจะพยายามแต่งเติมฉัน
แต่ฉันจะไม่ลืมว่าฉันไม่ใช่รูปภาพบนกระดาษ
แม้ว่าจะมีคนนับร้อยนับพันมาเขียนแต่งแต้มฉันอย่างไร
หากฉันไม่ฝังมันลงไปในตัวฉันเสีย
คำพูดพวกนั้นคงไม่มีความหมาย
ฉันจะวาดภาพของตัวเอง
ด้วยตัวของฉันเองเท่านั้น

จาก no rain on the moon




ปล. หลายครั้งที่หายไปไม่ได้วาดรูป
บางทีก็ไม่ว่างจริง
บางทีไม่วาดเพราะรู้สึกว่า
วาดแล้วไม่สนุกเลย
เราเป็นพวกสูญเสียตัวตนได้ง่าย
มีเพื่อนสนิทเราคนหนึ่ง
เข้ามาบอกเราว่า
เนี่ย อยากให้ลงสีรูปที่วาด
เพราะคงสวยดี
เราก็เม้งใส่ไปรอบนึง
ผ่านไปอีกเดือนสองเดือน
มันก็กลับมาอีกแล้วความคิดเห็น
เพื่อนเราบอกว่าอยากบอก
ว่าพอเห็นภาพแล้ว
อยากให้มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
ก็เลยคอมเม้นท์ไปตามที่คิด
ตอนนั้นเรานั่งคิดหนักเลย
ว่าที่เราวาดนั้น วาดไปทำไม
เราก็ตอบว่า เราวาดเพราะสนุก
แต่ที่วาดแล้วเอามาลงก็คือ
เอามาอวด แบ่งกันดูเนอะ
แต่ถ้าเราวาดเพราะคนอื่นอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้
รูปที่เราวาด ก็ไม่ใช่รูปที่เราวาด
แต่เป็นรูปที่คนอืนสั่งให้วาด
มันจะเป็นเราเหรอ
นี่มันงานอดิเรกเรานะ
เราน่าจะมีโอกาสคิดตัดสินใจได้ในพื้นที่ของเรา
เราชอบคำแนะนำนะ เพื่อการเรียนรู้
แต่พอรู้สึกว่าบางคนใส่ "ความต้องการ" ลงไป
ก็รู้สึกว่ามันเกินขอบเขตแล้ว
ตอนนั้นสับสนมาก
แต่ตอนนี้ได้ข้อสรุปแล้วว่า
ดอกไม้มันบานของมันเองได้
ไม่ต้องให้คนมาชม มาด่า
มาบอกว่า มันต้องออกดอกสีอะไร
บานเมื่อไหร่ โรยเมื่อไหร่
มันเลือกของมันเอง
ถ้ามีคนเดินมาหยุดตรงหน้ามันแล้วยิ้ม
มันก็ดีใจ
ถ้าคนเดินไปกระทืบมัน
ดอกไม้มันก็ทำอะไรไม่ได้
อีกสักพักได้น้ำ
เดี๋ยวต้นไม้ก็งอกดอกไม้ดอกใหม่
บางทีมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่สำคัญมาก
ที่เราค่อยๆค้นพบและมองเห็นตัวเอง
และค่อยๆผลิบาน

ปอลิง ตอนนี้ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธนะ
แล้วไม่ได้โกรธเพื่อนคนนั้นด้วย
ถือเป็นข้อสอบชีวิตอันนึงที่ยากเอาการเลยทีเดียว :D

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กรุณาอย่าส่งเสียงดังในห้องสมุด

วันนี้เข้าไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดประชาชน
มีสาวสองคนพูดกันจ๊อกแจ๊กที่ชั้นหนังสือภาษาอินโดนีเซีย
ฉันก็เดินผ่านไปไม่ได้สนใจอะไร
สักพักเธอสองคนมานั่งที่ห่างจากฉันไปสักสามเมตร
และยังคงคุยไม่หยุด
คิดเธอคงพยายามกระซิบกัน
ในระยะที่หูฉันยังได้ยิน
ฉันพยายามหันไปสบตาและยิ้มให้
เพื่อให้พวกเธอรู้ว่าแม้ห้องสมุดมันไม่ค่อยมีคน
แต่ก็มีคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้
และได้ยินที่พวกเธอพูดกันนะคะ
แต่ดูเหมือนเธอคนที่สบตากับฉันจะไม่เข้าใจภาษากาย
เอ้า... ไม่เป็นไร นิดๆหน่อยๆ
อีกอย่างพวกเธอพูดภาษาอินโด
ฉันฟังไม่รู้เรื่องหรอก

หลายครั้งบนรถเมล์
มีหลายคนนั่งคุยโทรศัพท์
บางทีฉันนั่งเครียดจากรถติดที่กรุงเทพอยู่แล้ว
นี่ยังต้องนั่งฟังคนพูดนินทาชาวบ้าน
เล่าปัญหาชีวิต คุยเรื่องงาน
ชีวิตช่างอนาถเหลือหลาย




ถึงจะบ่นไปนั่น
แต่จริงๆเมื่อก่อนฉันก็เคยนั่งคุยกับเพื่อนในห้องสมุด
และเม้าท์ทางโทรศัพท์กับเพื่อนบนรถเมล์ตอนรถติดเหมือนกัน
แล้วฉันก็คิด(ในตอนที่ทำว่า) นิดๆหน่อยๆ ไม่ได้เสียงดังหรอกน่า
ฉันคิดว่า คนที่กำลังส่งเสียงอยู่ ก็คงคิดอย่างฉันในตอนนั้นเหมือนกัน
มันเลยทำให้ฉันมองเห็นตัวเองจากพวกเขา
และเข้าใจพวกเขาจากตัวเอง


เรื่องพวกนี้ขยายไปได้ถึงอารมณ์หลายๆอย่าง
พักหลังๆฉันชอบอ่านกระทู้ดราม่าเป็นพิเศษ
ดราม่านี้แปลว่าเหมือนกับนิยาย
แต่จริงๆฉันว่าเหมือนกับชีวิตจริงของเรานี่แหล่ะ
หลายคนโกหกและพยายามปกป้องตัวเองสุดชีวิต
หลายคนพยายามจับโกหกแล้วคาดคั้นเอากับคนอื่น
หลายคนโกรธที่คนอื่นมาว่าคนที่ตัวเองรัก
หลายคนสะใจที่คนอื่นตีกัน

อารมณ์เหล่านี้ฉันก็เป็นมาเป็นมาหมดแล้ว
พอมองเห็นสิ่งที่คนอืนแสดงออกมา
ก็เห็นภาพของตัวเองที่เคยทำอย่างนั้น
ฉันพยายามนึกย้อนว่าตอนที่ทำรู้สึกอย่างไร
แน่นอนว่าตอนที่เราทำตัวแย่แย่
เราจะสติขาดผึงแล้วเผลอทำอะไรโดยไม่รู้ตัว
อย่างเช่นตอนโกรธ ฉันจะใจสั่นตึ่กตึ่ก
มันจะรู้สึกหน้าร้อนวูบๆ
หรืออย่างตอนที่มีใครมากล่าวโทษฉัน
ฉันจะหน้าชาๆ แล้วเหตุผลร้อยแปดประการที่จะใช้แก้ตัวก็ผุดขึ้น
ซึ่งเหตุผลหลายๆอย่างที่เราใช้ตอนนั้น
มันดูจะไม่สมเหตุสมผลจนคนจับได้


เพราะฉันรู้ว่าเวลาพูดในห้องสมุด
แม้เสียงเบาขนาดไหนก็มีคนได้ยิน
เพราะฉันรู้ว่าเวลาคุยโทรศัพท์บนรถเมล์
คนที่อยู่บนรถคงจะรำคาญ
เพราะฉันรู้ว่าเวลาโกรธ โมโห ฉุนเฉียว
ฉันจะมีหน้าตา ท่าทาง กิริยาอย่างไร
ฉันจึงพยายามบอกตัวเองทุกครั้ง
ที่เลือดขึ้นหน้าหรือใจสั่น
ว่าถ้าทำตามอารมณ์
ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร


จริงๆ เราก็มีความไม่ดีในตัวเราเอง
แต่เรามักมองความไม่ดีของตัวเองไม่เห็น
แต่บางที ความไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นตัวบอกเราได้
หากเราจะสังเกตดีดี


จาก no rain on the moon

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

the last train

ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงม้านั่งบนชานชาลารถไฟ
เธอไม่ใช่ผู้หญิงสวย แต่เธอมีแรงดึงดูดบางอย่าง
สายตาของเธอกำลังมองไปยังท้องฟ้าที่ไกลแสนไกล
ผมนั่งลงข้างๆเธอ

"กำลังรออะไรอยู่เหรอครับ" ผมถาม
"กำลังรอรถไฟขบวนสุดท้ายค่ะ"
"รถมาเมื่อไหร่ครับ"
"ไม่รู้สิคะ"
"แล้วรถไฟขบวนสุดท้ายหน้าตาเป็นยังไงครับ"
"นั่นสินะ "


เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆหลังจากที่ตอบคำถามผม



ผมแอบมองหน้าของเธอใกล้ๆ
คุณเคยรู้สึกไหม ผู้หญิงบางคนไม่ได้สะสวย
แต่คุณก็ไม่อยากละสายตาไปจากเธอ

"ผมกำลังจะเดินทาง คุณจะไปด้วยกันไหม"
"ไปที่ไหนคะ"
"ไปที่ไหนก็ได้ครับ ผมกำลังหาเพื่อนเดินทาง"
"คุณใช่รถไฟขบวนสุดท้ายหรือเปล่า"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"...." เธอเงียบ
"รถจะออกแล้ว จะไปด้วยกันไหมครับ"
เธอหันมายิ้ม แล้วส่ายหน้าเบาๆ
"คงต้องลากันตรงนี้ ดีใจที่ได้เจอนะครับ"

ผมหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบนบ่า แล้วเดินจากมา
ก่อนก้าวขึ้นรถไฟ ผมหันไปยิ้มและโบกมือลาเธอ
ผมไม่รู้หรอกว่ารถไฟขบวนนี้คือรถไฟขบวนสุดท้ายของเธอหรือไม่
ผมรู้แต่เพียงว่า รถขบวนสุดท้ายที่เรารอคือรถที่เราเลือกที่จะขึ้น
เธออาจจะลืมความจริงข้อนี้ไป
หรือบางทีเธออาจจะคิดว่า
การรอบนชานชาลาอย่างเดียวดายนั้นปลอดภัยสำหรับเธอที่สุดแล้ว


จาก no rain on the moon

The Cat Returns




ไปยืม DVD มาจาก State Library
พากษ์อังกฤษ (แต่หน้าปกบอกว่าซับอังกฤษ - -'')
ภาพสวย เรื่องสนุก ตัวละครน่ารัก
สิ่งที่ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จงเป็นตัวของตัวเองนะ ^^
ปล. เมี๊ยววววววว.....
ขอบคุณภาพจาก wiki จ๊ะ

มารยาท

ตอนเด็กๆ แม่มักพร่ำสอนให้ฉันหัดมีมารยาทเวลากินข้าว
มีมารยาทอย่างนั้น อย่างนี้
ฉันเคยคิดว่า มารยาทคงเป็นสิ่งที่ติดตัวผู้ดี
และก็นึกสงสัยเหมือนกันว่า
ไอ้การที่ฉันจะทำตัวไร้มารยาทบ้าง มันจะแย่สักแค่ไหนกันเชียว



ฉันเชื่อว่าทุกคนมีอาณาจักรเป็นของตัวเอง
อาจจะไม่ใช่พื้นที่ในเชิงนามธรรม
แต่เป็นพื้นที่ในทางจิตใจ
ทุกคนจะมีพื้นที่ส่วนตัวในเชิงความคิดเห็นต่อตัวเอง
ต่อเพื่อนฝูงหรือสังคม รสนิยม ความชอบ ไม่ชอบ
เหล่านี้รวมกันเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรืออาณาจักรของเรา
แน่นอนว่าเราไม่ได้อนุญาติให้ทุกคนเข้ามาในเขตพื้นที่ของเรา
เราอาจจะยอมให้เขาเข้ามาแตะที่รั้วบ้าน
บางคนที่รู้จักกันอาจได้เข้ามาเดินเล่นในสนาม
บางคนถ้าสนิทหน่อยอาจอนุญาติให้เข้ามาในบ้าน เข้าครัว เข้าห้องนั่งเล่น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าของบ้านจะอนุญาติเฉพาะกับบางคนเท่านั้น

แต่หลายๆครั้ง เราก็พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เข้ามาสร้างความวุ่นวายทางอารมณ์
คล้ายๆกับมีคนใส่รองเท้าลุยโคลนย่ำเข้าบ้านเราก็ไม่ปาน


ฉันเคยคิดว่ามารยาททั้งหลายที่กำหนดมา
อาจเป็นเครื่องมือช่วยทำให้เราได้รับการยอมรับจากสังคม
จนเมื่อฉันโตขึ้น ฉันพบว่าจริงๆแล้ว มารยาทนั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูผู้ปฏิบัติ
แต่มันแสดงออกถึงความใส่ใจต่อผู้อื่น
ที่อาจได้รับความเดือนร้อนจากการกระทำอันไร้มารยาทของเรา

ฉันเห็นบางคนเคี้ยวข้าวอ้าปากจนเม็ดข้าวกระเด็นออกมา
มันก็ไม่ผิดบาปอะไร แต่อาจทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารด้วยรู้สึกรังเกียจ
บางคนเข้ามาพูดคุยหยอกเอินทำเป็นเหมือนคนที่สนิทกับนับสิบปี ทั้งๆที่ไม่ได้สนิทสนมอะไร
ทำตัวเหมือนแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่เดินเข้ามาในห้องนอนของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
เหล่านี้ทำให้ฉันเริ่มคิดว่า จริงจริงแล้วที่ฉันพยายามทำตัวมีมารยาท
ก็เพราะว่าฉันคำนึงถึงจิตใจของคนอื่น
ที่สำคัญก็คือฉันไม่ต้องการให้ใครมาก้าวล่วงพื้นที่ส่วนตัวของฉันเช่นกัน


กลอน3

เชิดหน้าสู้ฟ้าฝน เกิดเป็นคนต้องฟันฝ่า
กว่าฝันจะได้มา สู้ยิบตามิบ่นพร่ำ
พรุ่งนี้คงดีกว่า ถ้าวันนี้ได้เริ่มทำ
สติเป็นตัวนำ ฉันจะย่ำเท้าก้าวไป




ปล.หลังจากระบายลงบลอกมากมายก็หายบ้า
กลับไปนั่งอ่านเปเปอร์เขียนmanuscriptต่อได้ ให้ตายเถอะโรบิน!

กลอน2

พร่างพรมฝนหล่นมา สกุณาบินกลับรัง
เฝ้านึกถึงความหลัง ยามฉันยังแย้มเยาว์วัย
โลกนี้ช่างสวยงาม ยามมองฟ้าเห็นฟ้าใส
พริบตามิทันไร โลกเปลี่ยนไปไม่อาทร

ละครแห่งชีวิต ใครลิขิตเป็นเจ้าของ
ใครเป็นผู้ครอบครอง คุมครรลองชีวิตฉัน
โลกนี้มิสวยสด ไปทั้งหมดเหมือนวันนั้น
ทุกข์โหมที่โรมรัน คอยฆ่าฟันฝันวันเยาว์

ดวงตาของฉันนั้น ผ่านคืนวันร้อนฝนหนาว
วันที่ฟ้าสกาว วันที่ดาวไม่ส่องแสง
เรื่องเล่าจากแววตา ไม่ต้องหาคำแจกแจง
ฉันใกล้ลับดับแสง หมดเรี่ยวแรงแห่งศรัทธา

กลอน1

หมู่เมฆาพากันเคลื่อนเลื่อนลอยลา เปิดนภากระจ่างพร่างพราวแสงดาว
ราตรีนี้เดือนส่องแสงสุกสกาว แวววับวาวราวกับดวงตาของเธอ
เยาวมาลย์ค่ำคืนนี้เธออยู่ไหน รู้บ้างไหมว่ามีคนคอยพร่ำเพ้อ
ขอฝากถ้อยพจีร้อยเรียงเสนอ ไปถึงเธอผ่านทางแสงแห่งดารา

เมฆเลื่อนมาปิดท้องฟ้าจันทราลับ แสงมืดดับระงับดาราเงียบหาย
ห่วงนวลน้องเธอคงต้องหนาวใจกาย รักมิคลายสายสมรของพี่ยา
เราไกลกันดั่งผืนฟ้ามากั้นไว้ แต่ใจพี่มีแต่เจ้าดวงยี่หวา
พี่ใช่เพียงพูดพล่อยร้อยรจนา ขอสัญญารักมั่นนิรันดร

คำตอบ

เดิมไม่เคยคิดหาคำตอบ เดิมไม่เคยจะรู้ที่บอก
ยามไม่มีผู้ใดคอยปลอบ ว่าสักวัน
ยามเมื่อลมฟ้าฝนแปรเปลี่ยน โดนผู้คนทำร้ายข้างเคียง
เธอเป็นลมที่พัดมาเยี่ยมและปลอบใจ

อยากรู้ ว่าเธอคือคนเช่นไร
อยากรู้ เธอมาหมอกร้ายก็หายไป
อยากรู้ ทิศทางเธอมานั้นเพื่อใคร
ให้คำตอบ กับฉัน ให้เธอบอก คำนั้น
ให้เธอลอง บอกฉัน ว่ารักเธอเพื่อนใจกันและกัน



เธอคือลมที่พัดผ่านไป
แล้วไม่หวนคืนมา
เหลือทิ้งเพียงร่องรอยของเวลา
และคราบน้ำตาแห่งความคิดคำนึง
เธอคือลมเย็นพัดมาอย่างไม่บอกกล่าว
และลาจากไปอย่างเงียบเชียบ
ฉันเฝ้ารอคืนวันอันแสนหวานคืนกลับ
แต่คงจะไม่มีวันเหล่านั้นต่อไปอีกแล้ว

ติด ร. วิชาโลก

ตอนเราเรียนมัธยม เราก็คิดอิจฉาเด็กประถมที่เรียนง่ายกว่าเราตั้งเยอะ
ตอนเราเรียนมหาลัย เราก็นึกถึงสมัยมัธยมที่เที่ยวเล่นสนุกสนานกับเพื่อน
พอเราเริ่มทำงาน เรากลับพบว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเนี่ยอิสระที่สุดแล้ว

เมื่อเราย้อนกลับไป เราจะพบว่าสิ่งที่เราได้เคยทำนั้นไม่ยาก
อย่างเช่นให้เราไปบวก ลบ คูณ หาร เลขของเด็กประถม
เราก็จะคิดว่ามันง่ายมากๆ ทำแป๊ปเดียวก็เสร็จ
แต่ถ้าย้อนนึกกลับไปตอนที่เราอยู่ชั้นประถม
เราก็คิดว่า การบ้านพวกนี้ยากมาก คิดเท่าไหร่ก็คิดไ่ม่ออก

ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ก็เช่นกัน
มันดูช่างยากเย็นเข็ญใจนักเมื่อเราเผชิญกับมันครั้งแรก
แต่พอครั้งที่สองหรือสาม เราก็เริ่มที่จะรับมือกับมันได้
แต่หลังจากนั้น ปัญหาที่ยากกว่าเดิมก็จะเดินทางมาหาเรา
การใช้ชีวิตบางทีก็เหมือนการสอบเลื่อนชั้น
บางคนสอบตกวิชาการใช้ชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สอบตกวิชาทำมาหากิน วิชาการใช้เงิน วิชาครอบครัว วิชาหน้าที่
เราคงเคยสอบตกวิชาใดวิชาหนึุ่งของโลกมาแล้ว
แต่อยู่ที่ว่าเราจะตกซ้ำวิชาเดิม
หรือใช้ความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมาเป็นครูสอนให้เราได้สอบผ่านครั้งถัดไป
สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องเปิดใจที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา
และอย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีต


บางทีการแก้ปัญหาในชีวิตก็เหมือนกับการปีนภูเขา
ลูกที่ปีนยากที่สุดและสำคัญที่สุดคือลูกที่เรากำลังปีนอยู่
ถ้าเรามัวแต่มองย้อนไปดูแต่เขาลูกที่เราปีนผ่านมา
เราอาจจะเผลอปล่อยมือพาตัวเองกลิ้งตกเขาลูกที่ปีนอยู่ก็ได้


จาก no rain on the moon

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หูไม่เท่ากัน

ธรรมชาตินั้นไม่สมบูรณ์แบบอย่างสมบูีรณ์แบบ
ทุกอย่างมีข้อบกพร่องหรือจุดด้อยทั้งนั้นถ้าเราจะมองหามัน
น่าสังเกตว่า ยิ่งเราทำอะไรซ้ำๆบ่อยๆ
เราก็จะทำสิ่งนั้นได้เร็วขึ้นและดีขึ้น
เช่น กระเป๋ารถเมล์จะสามารถทอนเงินค่าตั๋วได้ไวมาก
เพราะเขาต้องทอนเงินบนรถสายเดิมทุกวัน
หรือโทรศัพท์มือถือที่เราใช้งานประจำ
ถ้าเราเปลี่ยนเครื่องใหม่เป็นคนละยี่ห้อหรือคนละรุ่น
ความเร็วในการใช้งานของเราก็จะลดลง
พูดง่ายๆก็คือ ยิ่งเราทำอะไรบ่อยๆ เราก็จะชินจนเป็นนิสัีย
ถ้าเรายิ้มบ่อยๆ จนเป็นนิสัย เราก็จะพบว่าการยิ้มนั้นง่าย
ถ้าเราหงุดหงิดบ่อยๆ จนเป็นนิสัย เราก็จะหงุดหงิดแม้มีอะไรนิดหน่อยมากระทบ
ถ้าเราจับผิดคนอื่นบ่อยๆจนเป็นนิสัย แม้ไม่มีอะไรผิด ก็เห็นสิ่งที่ผิดอยู่ดี

จาก no rain on the moon

ขนาดรูปนี้ยังมีคนบอกว่าหูหมีไม่เท่ากันเลย


ปอลิง. บางครั้งนอยด์นะ พวกติไม่ได้ก่อเนี่ย ไม่เชิงว่ารับคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ แต่คำวิพากษ์วิจารณ์บางอยย่างก็ไม่ได้พูดถึงข้อด้อยเพื่อให้งานมันพัฒนา แต่เป็นการชี้ปมด้อยที่บางทีมันก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาดอะไรเลย รูปนี้เราก็งงว่า มันไม่เท่ากันตรงไหนวะ ปากมันยังเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดมากกว่าเสียอีก

ดวงจันทร์นั้นไร้ฝน

ฉันตั้งชื่อบลอกนี้ตอนฝนกำลังตกพรำๆ
เพราะบนดวงจันทร์ไม่มีฝน
คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมดวงจันทร์ฝนไม่ตก
ทั้งทั้งที่อยู่ใกล้โลกนิดเดียว
น่าจะแบ่งน้ำที่ท่วมๆโลกไปตกบนดวงจันทร์เสียบ้าง

ในแบบเรียนวิชาสปช.บอกฉันว่าประเทศไทยมีสามฤดู
คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว
แต่จากการที่ฉันใช้ชีวิตในประเทศไทยมายี่สิบกว่าฝน
ฉันพบว่า ฤดูหนาวในเมืองไทยมีอยู่ไม่กี่วันหรือบางปีอาจไม่มีเลย
วันที่เหลือเป็นฤดูร้อนทั้งหมด อาจจะเป็นฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก ฤดูร้อนมากๆ
และ ฤดูร้อนที่ฝนตก เพราะแม้ว่าฝนตกก็ยังร้อนอยู่ดี
ฉันเลยรู้สึกว่าความรู้ในตำรานั้นเอามาใช้บรรยายสภาพอากาศในเมืองไทยไม่ได้
อาจเป็นเพราะโลกกำลังร้อนขึ้น
หรือตำรับตำรานั้นเก่าเกินไป

และนับตั้งแต่ฉันย้ายตัวเองมาอยู่ประเทศเขตอบอุ่นได้ปีกว่า
ฉันพบว่าความรู้ว่าประเทศไทยมีสามฤดูนั้น
แทบไม่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตที่นี่
เพราะที่นี่มีสี่ฤดู
และกลางวันกับกลางคืนในบางฤดู
อุณหภูมิอาจต่างกันเป็นสิบองศา

ส่วนดวงจันทร์นั้นแม้จะโคจรอยู่ใกล้กับโลก
แต่บนดวงจันทร์ไม่มีฝน
เพราะว่าขนาดของมันเล็กเกินกว่าที่จะสร้างแรงดึงดูดต่อแก๊สและไอน้ำ
ที่เป็นส่วนประกอบของบรรยากาศ
เมื่อไม่มีบรรยากาศ
ดวงจันทร์จึงไม่มีฝนพรำพรำเหมือนโลกของเรา
ถ้าดวงจันทร์จะมีฝน ก็คงมีแต่ฝนดาวตกกระมัง :D

แต่ละคนแตกต่างกัน

ฉันคิดว่าสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบนั้น
ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกัน
ฉันอาจจะชอบสีม่วง
ในขณะที่เพื่อนสนิทของฉันชอบสีส้ม
ฉันอาจจะเลือกกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
ในขณะที่เพื่อนของฉันอาจจะกินเย็นตาโฟ
แม้แต่ฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกัน
สิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบก็ต่างกัน

ฉันคิดว่าสิ่งที่เราชอบหรือไม่ชอบ
มักจะมีที่มาที่ไปเสมอ
บางครั้งเราก็จำได้ว่าทำไม
แต่บ่อยครั้งที่เรามักจะลืมไปแล้ว
เพื่อนของฉันคนนึงกลัวแมงมุมมาก
ฉันถามเธอว่าทำไมถึงกลัวแมงมุม
ตอนแรกเธอจำไม่ได้
แต่พอใช้เวลาสักพักเธอก็เล่าให้ฟังว่า
ตอนเด็กๆ เคยมีแมงมุมตัวประมาณหัวแม่โป้ง
ห้อยตัวลงมาจากเพดานที่โรงเรียน
แล้วแมงมุมตัวนี้ก็มีลูกแมงมุมเกาะอยู่เต็มไปหมด
ตอนนั้นเพื่อนของเธอปัดเอาลูกบอลแมงมุมใส่หน้าเธอ
เธอเลยกลัวแมงมุมนับแต่นั้นมา
ไม่ว่าจะเป็นแมงมุมเป็นๆหรือแมงมุมที่ตายแล้ว
และแม้ว่าเธอจะเกือบลืมเหตุการณ์ในตอนเด็กแล้ว
แต่ความกลัวแมงมุมก็ยังฝังใจ

หลายครั้งฉันพบว่าสิ่งที่ฉันชอบตอนนี้
อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ฉันเคยชอบ
หรือคิดที่จะชอบมาก่อน
จริงๆแล้วฉันไม่ได้ชอบฝนเป็นพิเศษ
แต่หลายๆคนที่ฉันรู้จักชอบฝน
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงชอบฝน
แต่เมื่อฟังคนพูดถึงฝนบ่อยๆ
มันก็ทำให้เสียงของฝนน่ารักขึ้น
แม้ว่าฉันจะแอบโอดครวญในใจทุกครั้ง
ที่ต้องกางร่มออกจากบ้าน
แต่ความรู้สึกของฉันเกี่ยวกับฝนก็เปลี่ยนไป

สิ่งเล็กๆน้อยๆจากเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ทำให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน
คล้ายรอยพับบนหนังสือ
รอยเปื้อนบนผ้าเช็ดมือ
รอยขีดข่วนบนปกสมุด