วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

วัด

เวลาขึ้นเึครื่องชั่ง
ไม่ว่ายังไงก็เครียด
ส่วนใหญ่จะเครียดว่าอ้วนขึ้น
แต่บางคนก็เครียดว่าผอมไป
เวลาวัดส่วนสูง หลายๆคนก็เครียด
เครียดว่าสูงไปบ้าง เตี้ยไปบ้าง
เวลาคะแนนสอบออก
คนได้น้อยก็เครียดว่าจะไม่ผ่าน
คนได้เยอะก็กลัวว่าคราวหน้าคะแนนจะไม่ดีเท่าเดิม


จริงๆพอเราเริ่มเปรียบเทียบหรือตีค่าอะไรสักสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่น
เราจะเริ่มมองเห็นข้อไม่ดีของมัน
ทำไมฉันอ้วนจัง
ทำไมแฟนเพื่อนหล่้อกว่าแฟนเรา
ทำไมสาวๆสมัยนี้มันโอโม่เหลือเกิน
ทำไมฉันไม่เรียบร้อยอย่างชาวบ้านบ้าง
แค่เราวัดตัวเองกับคนอื่น
ความสุขที่เรามีอยู่ ก็หายไปหลายเปอร์เซนต์แล้ว

นี่ยังไม่นับรวมที่คนอื่นมาวัดเรานะ
อย่างเวลาเจอหน้าคนรู้จัก
มีแต่คนทักว่า อ้วนขึ้นหรือเปล่า
ไปทำอะไรมาหน้าโทรมจัง
นี่เมื่อคืนนอนดึกใช่ไหม แพนด้ามาเชียว
ฟังแล้วยิ่งหน้าเหี่ยวกว่าเดิมไปอีก

บางทีก็เป็นเ้หมือนความคิดที่ฝังแน่นในสมองนะ
ยิ่งเราวัดอะไรบ่อยๆ พอเจออะไรก็วัดไปทั่ว
คนนั้นดี คนนี้เลว คนนี้ขาใหญ่โคตร คนนั้นแม่งหน้าสิว
คนนี้อย่างนั้น คนนั้นอย่างนี้
พอเห็นแต่ความไม่ดี เราจะเริ่มหงุดหงิดที่หัวใจ
เพราะว่าแต่ละคนแต่ละอย่างมันผิดมันพลาดมันไม่ได้อย่างใจทั้งนั้น

บางที ถ้าเราเอาเวลาที่ตีค่าคนอื่นไปทำอย่างอื่น
นอกจากชีวิตจะมีคุณค่ามากขึ้น
ความสุขอาจจะมาเยี่ยมเราบ่อยขึ้นก็ได้นะ

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

รักคงยังไม่พอ

วันนี้นั่งคุยกับเพื่อนเรื่องพ่อแม่บางคน
เลี้ยงลูกด้วยเงิน
เพื่อนฉันบอกว่า พ่อแม่ก็รักลูกไง
ฉันเลยถามว่า
ถ้าฉันรักเธอ
ฉันเลยซื้อเค้กให้เธอวันละก้อนทุกวัน
เพื่อเป็นการแสดงความรักต่อเธอ
ทั้งๆที่จริงๆแล้วเธอไม่ชอบเค้กเลย
เธอจะมีความสุขต่อความรักที่ฉันมอบให้ไหม


เพราะคำว่ารักอย่างเดียวคงยังไม่พอ
ที่จะสามารถทำให้คนที่เรารักนั้น
มีความสุขหรือดียิ่งขึ้นไปได้
ถ้าเราไม่เข้าใจในตัวของเขา
อาจกลายเป็นว่า เราไปทำให้เขารำคาญก็ได้
แล้วเราก็มานั่งเสียใจว่า
ความรักที่เรามอบให้ไปไม่มีประโยชน์ใดใด


และเพราะคำว่ารักคำเดียว
ที่ทำให้ใครบางคนกลายเป็นคนที่น่ารำคาญสำหรับเรา
หลายคนอาจเคยรู้สึกรำคาญพ่อแม่
ที่เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของพวกเขา
ที่คอยดุด่าว่ากล่าวลงโทษพวกเขา
ที่ไม่เคยมีเวลาดูแลพวกเขา
แต่จะมีสักครั้งนึงไหมที่พวกเขาจะระรึกได้ว่า
ที่พ่อแม่ทำไปทั้งหมดเพราะความรัก
ถึงบางครั้งจะขาดความเข้าใจไปบ้าง
ด้วยวัยที่ต่าง สังคมที่ต่าง สิ่งแวดล้อมที่ต่าง
แต่ที่ทำไปทั้งหมด ก็ด้วยความรัก

หรือบางที แค่คำว่ารัก ก็อาจจะเพียงพอแล้ว

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

คำถาม

แม่ถามว่าทำไมเราฟังธรรมะตั้งหลายครั้ง
ฟังครั้งเดียวไม่รู้เรื่องหรือไง
เราก็บอกว่าไม่รู้เรื่องหรือถ้ารู้ก็เข้าใจไม่ทั้งหมดหรอก
ถ้าฟังรอบเดียว บางอันต้องฟังหลายๆรอบ
แล้วมันจะเริ่มเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ
แม่เลยถามว่า แล้วอย่างนี้จะรู้ได้ไงว่าเข้าใจแล้ว
เราก็บอกแม่ว่า เหมือนเวลาแม่บวกลบเลขอ่ะ
ตอนไม่เข้าใจก็ทำไม่เป็น
แต่พอเข้าใจก็ทำเป็น
แต่ธรรมะอาจจะยากหน่อย
เพราะโจทย์(ชีวิต)มันซับซ้อน
ที่พระท่านเทศน์เนี่ยเป็นตัวอย่าง
เราอาจจะเข้าใจตอนฟังตัวอย่าง
แต่พอทำโจทย์เองกลับทำไม่ได้
ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ก็คือเราสามารถทำโจทย์นั้นได้
นั่นแหล่ะเข้าใจจริงๆ
ไม่ใช่แค่ฟังตัวอย่างแล้วพูดว่า เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว
นั้นคือ คิดว่าเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจจริงๆ

ในกระเป๋า

เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน
รู้สึกว่ากระเป๋าสะพายหนักมาก
จึงเปิดกระเป๋ารื้อๆดู
พบว่ามีของที่ไม่จำเป็นอยู่ในกระเป๋าเยอะมาก
เลยต้องหยิบของออกหลายชิ้น
ไม่งั้นหิ้วของหนักมากแล้วปวดไหล่


บางทีความคิดที่ไม่จำเป็น
ก็ต้องหยิบออกไปเหมือนกัน
ไม่งั้นหนักหัวตายกลายเป็นโรคประสาทเสียเปล่าๆ

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

เดินไป

ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก... ฉันนั่งมองเข็มวินาทีของนาฬิกาเดินไป
เข็มเดินวนอยู่กับที่ เดินไปเดินมาซ้ำๆอยู่กับที่เดิมๆ
ถ้ามันมีความรู้สึก นาฬิกาจะเบื่อบ้างไหม
ที่ต้องเดินวนไปเวียนมาตลอดเวลาอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น

แต่ถ้านาฬิกาไม่ยอมเดิน
มันก็คือนาฬิกาตาย
เป็นแค่พลาสติกที่มีเลขติดอยู่เท่านั้น


คนเราก็เหมือนกัน
บางทีเราอาจจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำนั้น
ทั้งเล็กน้อยและซ้ำซาก
แต่สิ่งที่เล็กน้อยและซ้ำซาก
กลับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเอง
และมีคุณค่าต่อคนอื่น

นาฬิกาเดินติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก... ต่อไป
แล้วฉันก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ตัวใหญ่

กระรอกถ้าตัวใหญ่กว่านี้อีกสองสามเท่า
ก็คงปีนกิ่งไม้เล็กๆไม่ได้
นกถ้าตัวใหญ่สองสามเมตร
ก็คงบินไม่ขึ้น
ส่วนพยาธิถ้าตัวอ้วนกว่านี้
ก็คงคับลำใส้

ของบางอย่างใหญ่ไปก็ไม่ดี
ต้องมีขนาดที่เหมาะสม


คนเราก็เหมือนกัน
บางทีทำตัวใหญ่คับโลก
ก็ไม่ได้ดูน่ารักหรือน่าเข้าใกล้
เท่ากับทำตัวเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย



(ป่าวหรอก วันนี้เจอคนพูดจากร่างๆมา.. ทำได้แค่หัวเราะหึหึ แล้วพูดว่า อ๋อ เหรอคะ...)

ประสบการณ์จากเด็กเสิร์ฟ(ที่เพิ่งทำงานมาได้สองวัน แต่ปวดหลังไปแล้ว)
;P

หยดน้ำไม่ใช่ของเรา

หลายคนเชื่อว่าตัวเองเป็นนักคิด
และนักคิดส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเองสร้างสรรค์ข้อเท็จจริง
ออกมาจากหัวของพวกเขา
ฉันเห็นว่านักคิดก็ไม่ต่างอะไรกับนักจัดดอกไม้
พวกเขาแค่เอาธรรมชาติที่มีอยู่มาเรียงร้อยเท่านั้น
หาใช่ผู้ที่สร้างดอกไม้เหล่านั้นขึ้นมา
หลายคนเชื่อว่าความคิดนั้นเป็นลิขสิทธิ์ของพวกเขา
แต่ฉันกลับเห็นว่าความคิดก็เป็นเหมือนหมู่เมฆที่ลอยไปมา
หมู่เมฆที่กลั่นตัวเป็นน้ำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
เพียงแต่คนที่เก็บกักน้ำฝนกลับคิดเอาเองว่า
น้ำนี้เป็นของพวกเขา
มีคนที่คิดเช่นนี้และตายไปจากโลกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว

หยุดมอง

ถึงแม้ว่าเราจะเดินผ่านดอกไม้ที่สวยที่สุดไป
เราอาจจะไม่รู้ว่ามันมีอยู่ด้วยซ้ำ
ถ้าเราไม่หยุดมองแล้วชื่นชมความงามนั้น

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

หายไป

พระจันทร์หายไป
ท้องฟ้าหายไป
เมฆขาวหายไป
ดอกไม้หายไป
รอยยิ้มหายไป

หลายๆอย่างหายไปจากชีวิตเรา
เพียงเพราะเราลืมเลือนมันไป

พระจันทร์หายไปเพราะเราลืมแหงนหน้ามองฟ้า
ดอกไม้หายไปเพราะเราลืมที่จะก้มมองพื้นดิน
รอยยิ้มหายไปเพราะเราลืมที่จะมีความสุข
คนที่เรารักหายไปเพราะเราลืมที่จะมอบความรักให้เขา
สุดท้าย ตัวเราก็จะหายไป เพราะว่าเราจะถูกลืมเลือนไปเช่นกัน

อีกทาง

คนเราสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้สองทาง
ทางหนึ่งคือ เดินเข้าไปในชีวิตของเขา
อีกทางหนึ่งคือ เดินจากมา

แต่บางที ฉันคิดว่า อาจจะมีทางที่สาม
นั่นคือ แม้ว่าเราจะอยู่หรือไม่อยู่
มันก็ไม่มีผลกระทบใดใดต่อวิถีชีวิตของเขา


บางทีก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า
ที่พบว่าตัวเองค่อยๆหายไป
ไม่สิ ต้องบอกว่าตัวเองไม่เคยมีตัวตน
เป็นแค่จุดเล็กเล็กจุดหนึ่งในโลก
ไม่เคยเป็นอะไรที่มากไปกว่านั้น

ตลกดี

ช่วงนี้ตลกดี กำลังตามหาความ Unique ของตัวเอง ด้วยการลองทำอย่างคนอื่น
เพราะไม่มั่นใจว่า สิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันดีพอหรือเปล่า

บทความที่ห้าสิบ

ขอต้อนรับน้องฮิปโปแมวส้มกลับมา กับรายการใหม่นะจ๊ะ ธรรมดา ธรรมดา กับ Hippo the cat ='w'=

จาก no rain on the moon


จาก no rain on the moon


จาก no rain on the moon


ถ้าอ่านไม่ออก แนะนำให้กดที่รูปภาพนะจ๊ะ
วันนี้เขียนด้วยดินสอ เพราะยังไม่ชินกับการเขียนภาษาไทยเยอะๆ
เดี๋ยวนี้ใช้พิมพ์เอาตลอด มือไม่ค่อยไปซะแล้ว
ขอบคุณที่แวะมานะ ยินดีรับข้อคิดเห็นจ๊ะ
อันนี้เป็นตัวทดลอง อยากรู้ว่าน่าสนใจ อ่านยากไป หรือไม่สนุก จะได้นำไปพัฒนาจ๊ะ :D
ขอบคุณนะ

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

You are what you......

หลายคนคงคุ้นชินกับคำว่า
You are what you eat
หรือ You are what you read
ฉันสงสัยว่า
มันจะจริงทั้งหมดเหรอ??

ฉันพบว่าคนบางคนตัวผอมเก้งก้าง
แต่รับประทานอย่างกับยัดทะนาน
ในขณะที่ฉันตัวอ้วนกระปุ๊กลุ๊ก
ก็ไม่ใช่ว่ากินน้อย
แต่ฉันเชื่อว่าฉันกินน้อยกว่าคนผอมบางคน
หลายคนก็บอกว่า
แหม ของอย่างนี้มันเกี่ยวกับพันธุกรรมด้วยไง

อ้าว.. แล้วไอ้ You are what you eat มันก็ไม่จริงแท้ร้อยเปอร์เซนต์สิ
ฉันเห็นบางคนรักษาสุขภาพแทบตาย
แต่ก็เจ็บกระเสาะกระแสะ
เราจะให้คำอธิบายแก่คนพวกนี้ได้ยังไง


ส่วน You are what you read นี่ฉันก็ไม่คิดว่าจริงนะ
เพราะฉันชอบอ่านนิยายสืบสวนหรือฆาตกรรมมาก
ฉันก็เคยคิดจะไปฆ่าหั่นศพใครสักที
อืม.. แต่บางทีอาการกำลังฟักตัวอยู่ก็ได้
แต่ฉันก็ชอบอ่านวรรณกรรมเยาวชนกับหนังสือภาพนะ
มันคงพิลึกถ้าฉันเป็นฆาตรกรหั่นศพที่ลัลลามองโลกในแง่ดี
ฉันคิดไปคิดมาก็พบว่า
เราคงไม่ได้เป็นทุกอย่างที่เราอ่านมั้ง


อาจเป็นเพราะเราเรียนเลขบวกลบคูณหารมากเกินไป
เรามักจะสรุปอะไรง่ายๆว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง
ถ้าเรารับเอาอะไรเข้าไป สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นผลิตผลของเรา
ลองดูต้นไม้สิ มันได้น้ำ ได้แสงแดด ได้แร่ธาตุจากดิน
แต่สิ่งที่ผลิตได้กลับเป็นกิ่ง ก้าน ใบ ดอก

แล้วสรุปว่า You are what you อะไรดีล่ะ??

ถ้าถามฉันนะ ฉันคิดว่า You are what you think, what you speak, and what you act!!!
คุณเป็นสิ่งที่คุณคิด คุณทำ คุณพูดไง
เหมือนต้นมะเขือออกดอกเป็นมะเขือ ต้นกุหลาบออกดอกกุหลาบ
ไม่ต้องสรรหาหรือพยายามตั้งคำถามหรอกว่า
ต้องรดน้ำยังไง ใส่ปุ๋ยยังไง เมล็ดถึงจะงอกออกมาเป็นต้นกุหลาบ
จุดสำคัญน่าจะอยู่ที่ว่า ถ้ารู้ตัวว่าเป็นต้นกุหลาบแล้ว จะเป็นต้นกุหลายที่ออกดอกได้ไหมต่างหาก

ชำระ

เมื่อเช้าตอนเข้าห้องน้ำก็เห็นกระดาษชำระ
เลยนั่งคิดว่า คำว่า ชำระ คงแปลว่า ทำให้สะอาด
อย่างเช่น ชำระล้างร่างกายและจิตใจ


แล้วแค้นนี้ต้องชำระล่ะ?


น่าแปลกที่หนังจีนกำลังภายใน
และละครไทยยุคหนึ่ง
จะมีภาพพระเอกต้องตามชำระแค้นเพื่อบิดาหรืออาจารย์
จนเป็นคำติดปากว่า
แค้นนี้ต้องชำระ
มันฆ่าพ่อฉัน ฉันจะฆ่าพ่อมันเพื่อให้หายแค้น
แต่ทำเช่นนั้นแล้ว ความแค้นจะสิ้นสุดลงจริงๆหรือ
เรามีความสุขเพราะสามารถทำให้คนอื่นเจ็บปวดเหมือนเราอย่างนั้นหรือ


การชำระแค้นก็เหมือนกับการพยายามสร้างแผลเป็นให้คนอื่น
ณ จุดเดียวกัน หรือ ใกล้เคียงกับแผลเป็นที่เรามี
แม้จะทำเช่นนั้นแล้ว แผลเป็นนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน
วิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาแผลเป็นคือ
ทายาและดูแลรักษามัน
วิธีการที่ดีที่สุดในการชำระแค้นคือการให้อภัย
เพราะการให้อภัยเป็นวิธีการเดียวที่เราจะสามารถ
เช็ดล้างทำความสะอาดความแค้นที่มีอยู่ในใจเราได้

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

อ๊อด อ๊อด

ลูกอ๊อดน้อยว่ายน้ำลอยคอไปมาในบึงเล็กๆ
มันหวังว่าเมื่อมันโตขึ้น
มันจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนได้
ลูกอ๊อดได้แต่จ้องมองท้องฟ้าสีฟ้า
และหมู่เมฆขาวที่ลอยล่อง
สักวันหนึ่งมันจะขึ้นไปสูดอากาศบนเมฆขาวเช่นดั่งนกบ้าง
วันเวลาผ่านไป หางของลูกอ๊อดค่อยๆหดสั้นลง
มันว่ายน้ำได้ยากขึ้น แต่มันก็มีขาหลังค่อยๆงอกขึ้นมา
อย่างที่ไม่ทันได้สังเกต
หางของลูกอ๊อดก็หายไปหมด
ตอนนี้มันได้แต่กระโดดไปมาบนบก
กบน้อยลืมไปหมดแล้วถึงความฝันยามเมื่อมันยังมีหางอยู่
ตอนนี้มันกลายเป็นเพียงกบธรรมดาๆ
ที่มองเห็นว่าเมฆบนท้องฟ้า
เป็นเพียงที่มาของน้ำฝน

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่ยากที่สุด

จริงๆฉันเป็นคนมีโครงการในหัวล้านแปด
เมื่อคิดได้ ฉันก็พยายามรีบลงมือทำ
เรื่องบางเรื่องอาจจะยากตอนที่จะเริ่ม
เพราะบ่อยครั้ง เรามักคิดว่าเราไม่มีความสามารถพอ
แต่พอเริ่มไปแล้ว มันก็ยังมีความยากลำดับถัดมา
บางทีอาจจะเป็นจุดที่ยากที่สุดเลยก็ได้
นั่นก็คือกาีรที่เราอดทนทำต่อไป
โดยที่ไม่เลิกล้มไปเฉยๆ
เพราะรู้สึกว่า ทำไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผล





บางครั้งการทำงานก็เหมือนการสร้างเมฆ
คงต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงาน
ในการรวมไอน้ำขึ้นมาเป็นเมฆก้อนใหญ่ๆจนมองเห็นได้
แต่พอเราแหงานหน้าขึ้นไปมองเมฆที่เราสร้างขึ้นมา
ลอยอยู่บนฟ้าสวยงาม เราก็จะอุทานในใจว่า
เห็นไหม ง่ายนิดเดียว!

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ชาร์จแบต

วันนี้ฉันได้นอนบนพื้นหญ้า
นอนสูดกลิ่นไอดิน
ฟังเสียงน้ำไหลจากลำธารเล็กๆ
มองดูหมู่เมฆเคลื่อนไหว
เห็นยอดไม้ไหวเอนตามลม

มีความสุขจัง!!!

อย่าลืมลองชาร์จแบตแบบฉันกันบ้างนะ

พูดคุยกับเป็ดกลางสายฝน

ในสวน มีนก Noisy Miner ทำรังอยู่บนปลายกิ่งไม้สูงจากพื้นประมาณสามสี่เมตร
เมื่อวันฝนพรำๆ ฉันเคยเห็นมันบินวนไปวนมาเฝ้าดูรัง
รังที่ปลายไม้นี้เล็กเกือบประมาณตัวเท่าพ่อหรือแม่นก
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่านกอีกตัวหายไปไหน
วันนี้ฉันก็เห็นนกตัวเดียวบินวนไปวนมาเฝ้ารัง
ไม่รู้ว่าเป็นตัวเดิมที่ตากฝนเกาะกิ่งไม้เตี้ยๆคอยเฝ้ารังหรือเปล่า
ฉันไม่เห็นลูกนกเพราะรังสูงมาก
ฉันเคยคิดว่าเกิดเป็นสัตว์ก็ดีนะ
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย
จนวันที่ฝนตกพรำๆ
ฉันเห็นเป็ดยังคงออกหาอาหาร
โดยไม่มีร่ม
นกบางตัวยังคงจิกหาหนอนกินใต้ร่มไม้

บางทีการพยายามมีชีวิตรอดของเราและของสัตว์คงไม่ต่างกัน
ไม่ว่าเราจะมีชีวิตแบบไหน เราก็ต้องดิ้นรนกันทั้งนั้น
ฉันมองเป็ดที่พูดภาษาคนไม่ได้ยืนตากฝน
และเป็ดก็มองมนุษย์ที่พูดภาษาเป็ดไม่ได้ยืนถือร่มและมองมันอยู่
ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่า การเป็นอะไรก็ไม่ได้สบายหรือลำบากไปกว่ากัน
แล้วฉันก็เดินกางร่มกลับบ้านเพื่อไปนอนพักบนเตียงนุ่มๆในห้องอุ่นๆอย่างสบายใจ

เสียง

ตอนเด็กๆ ฉันชอบส่งเสียงดัง
พอโตขึ้น ฉันชอบฟังเสียงไพเราะ
แต่สุดท้าย เสียงที่ฉันรักที่สุด คือ ความเงียบ

บางที

บางทีเวลาฉันเดินผ่านร้านอาหาร
เห็นผู้คนกำลังกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
ฉันก็รู้สึกอยากกินขึ้นมาทันที

บางทีเวลาฉันเดินผ่านร้านเสื้่อผ้า
เห็นเสื้อผ้าสวยๆลดราคา
ฉันก็รู้สึกอยากได้

บางทีเวลาฉันเห็นผู้คนประสบความสำเร็จ
ได้รับการยอมรับจากสังคม
ฉันก็รู้สึกอยากเป็นอย่างเขาบ้าง


บางที ฉันอาจจะไม่ได้กำลังรู้สึกหิว
และบางที ฉันก็มีเสื้อผ้าอยู่เยอะแยะแล้ว
และบางทีอีกนั่นแหล่ะ ที่ฉันอาจจะไม่ได้อยากเป็นสิ่งที่คนอื่นเป็น

เพราะบางที ฉันอาจจะโดนเหนี่ยวนำ
จนลืมไปว่า นาทีนี้ฉันกำลังยืนอยู่ที่ไหน
แล้วตอนนี้ฉันต้องการสิ่งใด
หรือเวลานี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่......

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ที่หายไป....

บางคนเราจะรู้ว่าเขาหายไป
ก็ต่อเมื่อเขาได้หวนกลับมา
แต่กับบางคน
แม้เรารู้ว่าเขาหายไปอย่างไม่กลับมา
เรากลับยังคงเฝ้ารออย่างไม่หายไปไหน


....................................................



ความพยายามอยู่ที่ไหน
ไม่จำเป็นว่าความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่น
คุณได้พิสูจน์ให้ผมเห็นอย่างชัดเจนแล้ว



....................................................


ฉันจะบอกสิ่งที่ฉันชอบทุกอย่างให้คุณฟัง
เพราะเวลาที่คุณเห็นมัน
คุณจะได้นึกถึงฉันเสมอเสมอ


...................................................


ฉันชอบร้องเพลงเบาๆ
ไม่ได้หวังให้ใครมาได้ยินหรอก
เพราะมันเป็นความสุขเล็กๆของฉัน
การแอบมองคุณอยู่ห่างๆก็เช่นกัน


..................................................


ความรักของเราสองคนก็เหมือนดอกไม้
ในวันที่ดอกไม้นั้นแห้งเหี่ยว
คงเหลือแต่ฉันที่ค่อยๆหยิบมันขึ้นมา
ทับไว้ในหนังสือ
แล้วปล่อยมันทิ้งไว้ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ
โดยมีแต่ฉันผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่ามันยังอยู่


...............................................


การมอบรอยยิ้มก็เหมือนกับการมอบความรัก
เราไม่รู้ว่าหรอกว่าเราจะได้กลับคืนมาหรือเปล่า
แต่เราก็มีความสุขทุกครั้งขณะที่มอบมันให้กับใครสักคน




ขอยิ้มให้คุณสักหนึ่งทีนะ ;D

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

วันหนึ่ง....

วันหนึ่ง.... เมื่อคุณเดินทางไปไกลสุดฟ้า
คุณจะพบว่าสถานที่วิเศษที่สุดคือบ้านของคุณเอง


วันหนึ่ง.... เมื่อคุณได้ทำงานเพื่อหาเงินอย่างไม่รู้จากเหน็ดเหนื่อย
คุณก็จะพบว่าคุณไม่รู้จะเอาเงินส่วนนั้นไปทำอะไร


วันหนึ่ง... เมื่อคุณผ่านชีวิตที่เร่งรีบวุ่นวายสับสน
คุณก็จะพบว่าชีวิตที่ดีที่สุดคือชีวิตที่เชื่องช้า


วันหนึ่ง... เมื่อคุณได้พูดคุยพบปะผู้คนมากมายหลายร้อยหลายพัน
คุณก็จะพบว่าคนที่คุณจะคุยด้วยได้จริงๆมีอยู่หยิบมือเดียว


วันหนึ่ง.... เมื่อคุณแสวงหาทุกอย่างที่คุณเคยต้องการมาหมดแล้ว
คุณก็จะพบว่าสิ่งที่คุณแสวงหามาทั้งชีวิตไม่มีคุณค่าใดใดเลย
และสิ่งที่คุณละทิ้งมันไปเพื่อออกแสวงหาสิ่งที่คุณต้องการนั้น
นั่นแหล่ะคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคุณ



แล้ววันนี้........ ฉันฝันที่จะได้กลับบ้าน ไปใช้ชีวิตที่เชื่องช้า กับผู้คนเพียงหยิบมือ

คำขอโทษ

อันนี้ออกจะเป็นเรื่องส่วนตัวหน่อยนึงนะ :D
เราก็พ่นๆเรื่องของตัวเองนี่แหล่ะ 555++
ยาวแล้วก็ซ้ำซ้อนกับที่เคยเขียนในสเปซนะ


เมื่อกี้เพิ่งโทรหาแม่เรามา
แม่ร้องไห้หนักเลยล่ะ
แม่บอกว่า เมื่อวานก็ร้องไห้
บ่นเสียใจกับสิ่งที่เคยทำกับเราไว้
แม่บอกว่า แม่เลี้ยงเราไม่ดี
ตอนม.ปลาย เราต้องหิ้วขนมไปขายที่รร.
บางวันไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ
บางทีต้องซื้อข้าวทีละสองสามโล
เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อข้าวเป็นถุงๆ
ตอนเย็นกลับมาบ้าน เราก็จะมาช่วยแม่ขูดมะพร้าว (เป็นมะหมี่เชียว)
แล้วก็วางกล่องวุ้นเพื่อให้แม่เอาวุ้นมาหยอด
บางวันทำถั่วแปปขนมต้ม
ก็ช่วยขูดมะพร้าวฝอยๆ
แล้วก็ใส่กล่องเอาไปขายให้ครูกับเพื่อนที่โรงเรียน
บางทีเราหิ้วมาแต่เช้าบ้าง
แต่ถ้าเป็นขนมต้มกับถั่วแปปแม่ก็จะเอามาให้ตอนพักกลางวัน
พูดๆไป มันมีคนที่ชีวิตลำบากกว่าเราเยอะ
แต่ตอนเด็กๆ ฐานะทางบ้านเราก็ไม่ได้เดือดร้อน
แม่ก็ทำงานส่งให้เรามีกินมีใช้
ไม่ต้องถึงขั้นไม่มีจะกิน
เราเคารพแม่ในจุดนี้มาก
ผู้หญิงคนเดียวที่เสียสามีไปตอนสามสิบห้า
เรียนจบแค่ชั้นประถมสี่
เลี้ยงลูกสองคน คนนึงตอนนั้นอายุสิบสาม(คือพี่ชายเราที่ตอนนั้นอยู่กับป้า)
แล้วก็เรา อายุสามขวบครึ่ง
แม่เลี้ยงเรามา เรียกได้ว่าอิ่มหนำ
อยากกินอะไรก็ได้กินนะ
จนมาช่วงม.ปลายแหล่ะ ที่มีปัญหา
แม่ร้องไห้ทุกวัน
เราก็ร้องไห้นะ
ตอนนั้นแม่ไม่รู้ว่าชีวิตจะทำยังไงต่อไปดี
เราก็บอกแม่ว่าชีวิตก็เหมือนกับกลอนที่เราเคยอ่านเจอ
เดี๋ยวพอผ่านกลางคืนไป ฟ้าก็สาง
เดี๋ยวชีวิตผ่านเรื่องแย่ๆ
มันก็จะค่อยๆดีขึ้นมา

จริงๆเราพยายามตั้งใจเรียนช่วงม.ปลายนะ
เพราะพอเราอ่านหนังสือเรียน เราก็จะลืมเรื่องต่างๆ
ตอนนั้นไม่ได้คิดมาก หรือรู้สึกแย่
อยู่รร.ก็รับจ๊อบเพื่อนวาดรูปและทำชีทงานภาษาอังกฤษส่ง
ก็มีรายได้ เราขยันแล้วเราก็ได้ตัง ถือว่าวิน วิน 555++
ที่มาหนักจริงๆก็ช่วงอยู่มหาลัยมั้ง
ตอนนั้นได้ทุนจากรัฐเดือนละสี่พัน
ต้องอาศัยอยู่ในกรุงเทพ
ค่าหอก็เกือบสองพันแล้ว
ตอนนั้นเหลือกินอาทิตย์ละพันกว่าบาท
เคยมีครั้งนึง เหลืออยู่ห้าร้อย ต้องกินไปถึงสิ้นเดือน
ตอนนั้นยังกลางๆเดือนอยู่เลย
นั่งร้องไห้บ่อยมากช่วงนั้น ไม่รู้จะทำยังไง
แม่ไม่มีเงินแน่ๆ พี่ชายเราก็ไม่มี
เราก็ไม่กล้ายืมเพื่อน เพราะดูจากรูปการณ์เราก็ไม่มีปัญญาหาเงินมาคืนพวกมัน
ใช้ชีวิตอย่างนั้นอยู่สา่มสี่เดือน ก่อนที่เพิ่อนจะบอกให้ไปหาพี่ที่สอนพิเศษ
ให้เค้าหาเด็กมาให้สอน
ตอนนั้นถึงลืมตาอ้าปากได้
เราบอกว่า รับสอนเกือบทุกวิชาเลย ยกเว้นเลขกับฟิสิกส์ม.ปลาย
เคมี ชีวะ ภาษาอังกฤษ หนูสอนได้หมดเลยค่ะพี่
ตอนนั้นไม่เลือกอะไรทั้งนั้น บางทีไปลองสอนน้องครั้งแรกๆ
เรานั่งรถไปสอนไกลมาก รถติด บางวันฝนตก
ไปสอนแล้ว เค้าก็ไม่เอา ก็ไปฟรีๆ
หลงทางบ้าง นั่งรถมอไซค์รับจ้างเข้าซอยลึกๆเปลี่ยวๆบ้าง
เราก็ต้องไป เพราะเราไม่มีกินไง
มีเพื่อนบอกเราว่า ทำไมเราเป็นคนคิดมาก ทำไมถึงวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา
เราก็อยากจะบอกว่า ชีวิตนี้ เรายึดถือใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเราเองจริงๆ
มีอยู่ครั้งนึงช่วงที่ไม่มีกิน ไม่มีจะกินจริงๆ
ตอนนั่งรถเมล์ไปมหาลัย นั่งร้องไห้
นั่งคิดว่า กูจะทำไงกับชีวิตดีเนี่ย
พอถึงสี่แยกตึกชัย ก็หันไปเห็นเด็กขายพวงมาลัย
แล้วก็คิดได้ว่า เฮ้ย ชีวิตกรูดีกว่าเขาเยอะเลย
ดูสิ ได้ใส่ชุดนักศึกษา ได้เรียน ชีวิตเราไม่แย่เลย
เป็นคนโชคดีมากๆ ไม่เคยต้องลำบากยืนตากแดดตากควันร้อนๆ ขายพวงมาลัย
ตอนนั้นเราถึงตั้งหน้าตั้งตาลุกขึ้นสู้
ออกทำมาหากิน ออกสอนพิเศษ ไม่ใช่เพราะอยากร่ำรวย
แต่เพราะต้องหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง
โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม บางครั้งเด็กมาเรียนกันเยอะ ก็มีตัง
บางทีเด็กขอหยุดช่วงปิดเทอม ก็ต้องคิดแล้วว่า เดือนนี้จะเหลือเงินกินอยู่เท่าไหร่
เพราะฉะนั้นสายตาที่เรามองโลก มองเงิน มันต่างกันกับหลายๆคน

ที่เล่ามายืดยาวก็ต้องถึงเวลาวกกลับเข้าประเด็น
วันนี้แม่ร้องไห้
แม่บอกว่า แม่เสียใจเหลือเกินที่เลี้ยงลูกมาไม่ดี
เพราะความผิดพลาดที่แม่ทำช่วงเราอยู่ม.ปลาย
และการทำหลายๆอย่าง ที่แม่โทษตัวเองว่าแม่ผิด
แม่บอกว่าเรา แม่ขอโทษ
แม่บอกว่า แม่ไม่เคยเอ่ยปากขอโทษใครเลยสักครั้งในชีวิต
แม่บอกว่า แม่ขอโทษเรา
เสียงแม่เครือมาก แม่ร้องไห้เยอะมาก
เราก็น้ำตาไหล
เราบอกแม่ว่า แม่ฟังหนูนะ หนูไม่โกรธแม่
หนูยกโทษให้แม่ตั้งแต่วันที่แม่เคยคุยกับหนูช่วงที่หนูใกล้จบ
แม่บอกว่า บางอย่างที่แม่ทำไป เพราะแม่ไม่รู้จริงๆ
เมื่อก่อนหนูก็คิดนะ ทำไมแม่เราเป็นอย่างนี้วะ
แต่พอแม่พูดวันนั้น หนูก็คิดว่า แม่ทำดีที่สุดแล้ว
หนูให้อภัยแม่แล้วในวันนั้นจริงๆ
แม้ว่าแม่จะไม่ให้อภัยตัวเองมาจนถึงวันนี้ก็ตาม

วันนี้แม่ขอโทษเรา เราก็ขอโทษแม่
ที่บางครั้งเราอาจจะพูดจาไม่ดีกับแม่
เราให้อภัยตัวเองกับเรื่องที่ผ่านมา
และหวังว่าแม่จะให้อภัยตัวของแม่เองเช่นกัน


การลงโทษที่รุนแรงที่สุดก็คือการที่เราลงโทษตัวเอง
แล้วคิดว่าที่ผ่านมา เราผิด เราไม่น่าให้อภัย

ตัวเราเองก็พยายามฟังธรรมะ
แล้วมานั่งอธิบายให้แม่ฟัง
แม่ไม่เคยฟังธรรมะ เพราะวันๆแม่ต้องออกไปหาเงิน
เรื่องบางเรื่องที่อธิบายให้แม่ฟัง
พอผ่านไปอีกสองสามอาทิตย์
แม่ก็มาเล่าว่า ที่ฟังไป มันทำให้คิดได้นะ
เราก็ดีใจ เพราะแม่มีประสบการณ์ในชีวิตมาแล้ว
แค่บอกเล่านิดหน่อย ชี้นิดเดียว แม่ก็เห็น
แม่บอกว่า เมือวานตอนกลางคืน แม่นั่งร้องไห้เสียใจ
กับสิ่งที่ผ่านมา กับสิ่งที่ทำไว้กับเรา
หวังว่าคืนนี้ พอแม่เอ่ยทำว่าขอโทษกับเราแล้ว
แม่จะหันมาให้อภัยตัวเอง
แล้วลืมเรื่องราวที่ผ่านมา เหมือนที่เราให้อภัยแม่
แล้วเราก็ปลดความรู้สึกแย่ๆออกไปจากชีวิตเราได้


ที่เล่าเรียงเรื่องราวมาอย่างยาว(มาก)
ก็อยากจะให้เห็นว่า
บางทีการที่เราพูดและบอกเล่าความรู้สึกของเราอย่างตรงไปตรงมา
มันก็สำคัญและจำเป็นต่อการเยียวยาตัวเองและผู้อื่น
โดยเฉพาะคนใกล้ตัวของเรา ที่เรามักให้ความสำคัญในอันดับหลังๆ
เพราะมัวแต่คิดว่า จะทำเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
หรือรู้สึกกระดากเกินไปที่จะพูดออกมา

ถ้าตอนนี้มีอะไรค้างคาใจอยู่กับใคร
เดินไปบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อเขาเสีย
เพราะหากวันนึงเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ความรู้สึกผิดอาจจะถูกจองจำในหัวใจของเราตลอดไป
เพราะกุญแจที่จะไขเอาความรู้สึกผิดนี้ออกมา
ได้สลายหายไปพร้อมๆกับเขาคนนั้นเสียแล้ว

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ความหวัง

ความหวังเปรียบเหมือนแสงไฟ
พอเราหวังมากไป ไฟก็ขยายใหญ่
มอดไหม้ใจเราไปหมด

ความหวังไม่ใช่ความจริง
แต่ความหวังก็มีส่วนที่ทำให้เกิดเรื่องจริงได้
แม้ในหลายๆครั้งเราจะทำได้แค่หวังลมๆแล้งๆ

วิญญาณ

ตลกดีนะที่ฉันมักจะฟังแต่เพลงเก่าๆซ้ำๆอย่างไม่เบื่อ
หยิบโปสการ์ดเก่าๆที่เธอเคยเขียนให้ฉันมาอ่านเรื่อยๆ
คิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยคุยกัน ยิ้มให้กัน หัวเราะด้วยกัน
ทุกครั้งที่อ่านข้อความของเธอ มันเหมือนกับว่า
ฉันยังคงอยู่ในช่วงเวลานั้น แล้วเธอก็ยังอยู่ที่นั่น
ทั้งทั้งที่จริงๆแล้ว ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ที่ไหน
ยังอยู่บนโลกนี้ หรือว่าลาจากมันไปแล้ว

บางคนบอกว่า วิญญาณคือสิ่งที่ออกจากร่างเมื่อเราตายไปแล้ว
แต่ฉันคิดว่า วิญญาณคือความทรงจำ
ถ้อยคำที่เธอเขียนให้ฉันมันมีวิญญาณของเธออยู่
มันมีเศษเสี้ยวความทรงจำของเธอ
ที่เมื่อฉันนำมันกลับมาอ่านอีกเมื่อไหร่
ฉันก็รู้สึกว่ามีเธออยู่ด้วยเสมอ
แม้ในความคิดของฉันเพียงคนเดียวก็ตาม
บางทีการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของเธอในปัจจุบัน
อาจจะไม่จำเป็นสำหรับฉันเท่ากับความทรงจำของเธอก็ได้

แอบรัก

"ถ้าเธอแอบรักใครซักคน เธอจะบอกเค้าคนนั้นไหม" เธอถามผมวันหนึ่งขณะที่เรานั่งกันอยู่ริมน้ำ
"เราไม่บอกหรอก เพราะถ้าเราบอก จะเรียกว่าแอบรักได้ไง"ผมตอบ
เธอหัวเราะชอบใจ "นั่นสินะ... เราก็ไม่บอกเหมือนกันนะ"
"ทำไมล่ะ"ผมถาม
เธอหันมายิ้มให้ผมก่อนจะพูดว่า "ก็เรามีความสุขดีอยู่แล้วนี่ เราเป็นคนพอเพียงน่ะ"

ผมเคยสงสัยว่า ถ้าเธอแอบชอบผมเหมือนกันกับที่ผมแอบชอบเธอ
เราทั้งสองคนจะลงเอยยังไง
เราจะรักกันจนได้แต่งงานกันแล้วอยู่ด้วยกันตลอดไป
หรือว่าวันหนึ่ง เราจะเลิกกัน และไม่สามารถมองหน้ากันได้อย่างเดิมอีก


ผมคิดว่าการที่พระจันทร์ห่างจากโลกเท่าเดิมก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
เพราะแม้ว่าผมจะสัมผัสมันไม่ได้
แต่ผมก็แน่ใจได้ว่ามันจะยังคงโคจรรอบโลกอย่างไม่หายไปไหน

ป่วย

ป่วยกายไม่เท่ากับป่วยใจ
แต่ป่วยอะไรก็ไม่เท่ากูป่วย
เพราะถ้า"กู"ไม่มี
การป่วยก็เป็นแค่ความผิดปกติของชีววัตถุเท่านั้น


-------------------------------------------------
ตื่นมากลางดึก คิดว่าจะมานั่งพิมพ์งานเงียบๆ
แต่ก็คลื่นไส้อาเจียนไปสองรอบ
ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้กินข้าวเย็นติดกันมาหลายวัน
หรืออาหารเป็นพิษ (ไม่น่าใช่ เพราะอุ่นอาหารของเมื่อเช้า ตอนเช้ายังปกติอยู่)
หรือเครียดติดพัน เพราะช่วงที่พิมพ์ research proposal เมื่อต้นปี
ก็คลื่นไส้อาเจียนอาหารไม่ย่อยเป็นเดือนๆ

วันนี้นั่งอาเจียนเสร็จก็บ่น กูจะตาย
แล้วก็ เอ๊ะ... วันนี้เพิ่งฟังเทศน์ไป ว่ากูไม่มี ของกูไม่มีนี่นะ
ร่างกายเจ็บป่วยได้ แต่ไม่ต้องเอาใจไปรับมัน
มองมันเหมือนมองอาการป่วยทั่วๆไป
ไม่ได้มองว่าเป็นอาการป่วย"ของกู"

งานวิจัยที่ทำอยู่ก็ไม่ใช่ งานของกู
เพราะอีกร้อยปี ไม่มีกู ไม่มีอะไรทั้งนั้น
มีแค่ความรู้ที่เหลือไว้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
ทำไปเพื่อหน้าที่ ไม่ต้องทำเพื่อดี เด่น ดัง
ร่ำรวยเงินทอง หรือ โด่งดังมีชื่อเสียง

ถ้าจะบอกว่า เครียดเรื่องงาน ก็เพราะยึดติด
คิดว่า กูไม่จบแน่ กูโง่ กูตายแน่!
ความกดดันมันเยอะ แล้วก็ กูเนี่ยแหล่ะกดดันตัวกูเองล้วนๆ
ช่วงม.ปลายกับมหาลัยไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน
คงเพราะไม่เคยคิดว่า ถ้าฉันเรียนไม่จบ จะต้องอย่างนั้น อย่างนี้แน่เลย
ตอนนี้พยายามสลัดไปทีละอย่าง เหมือนค่อยๆปลิดกลีบดอกไม้
พยายามออกมาจากสังคม อยู่ตัวคนเดียว พยายามมองอะไรให้ชัดขึ้น

การเขียนบันทึกมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ
เวลาเราเขียน เราจะคิดเรื่องเดียว ไปที่จุดๆเดียว
ก็จะทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆในหัวได้ดีขึ้น

ปล.รู้สึกว่าอยู่ต่างประเทศแล้วจิตตกบ่อยจริงๆนะ ไม่รู้ว่าทำไม 555++

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ล้างจานเพื่อ....

หลังจากที่เพื่อนเรายังไม่เกทเรื่องล้างจานเพื่อล้างจาน
ส่วนตัวเรา ก็ใช่ว่าจะเข้าใจร้อยเปอร์เซนต์
คล้ายๆกับพอเข้าใจทางทฤษฏี
แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติได้ร้อยเปอร์เซนต์
แต่จะขออธิบายว่าทำไมเราต้อง
"ล้างจานเพื่อล้างจาน"

จาก no rain on the moon


ล้างจานเพื่อให้สะอาด ต่างกับล้างจานเพื่อล้างจานตรงสติ
นั่นคือ ล้างจานเพื่อล้างจานนั้น เราทำความสะอาดจานให้สะอาดเหมือนกันนี่ล่ะ
แต่ต่างกันตรงที่ ล้างจานเพื่อล้างจาน เราจะมุ่งความสนใจร้อยเปอร์เซนต์ไปที่จาน
ส่วนล้างจานเพื่อให้สะอาดนั้น ระหว่างล้าง เราไม่จำเป็นต้องสนใจในจานร้อยเปอร์เซนต์
แต่เราจะทำยังไงก็ได้ ให้จานสะอาด

แล้วทำไมล้างจานเพื่อล้างจานถึงดีกว่าล้างจานเพื่อให้จานสะอาด

เมื่อมองผลลัพธ์ทางกายภาพแล้ว จานก็สะอาดเหมือนกัน
แต่ตัวผู้ล้างนั้นต่าง
ถ้าเราล้างจานเพื่อล้างจาน เราก็จะมีสติกำกับตลอดเวลา
เราก็จะไม่มีการลืมล้างหม้อที่วางไว้อีกที่นึงหรือหงุดหงิดขณะล้าง
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆ แต่ลองสังเกตดูว่าปัญหาเหล่านี้มันขยายไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ

จาก no rain on the moon


เพราะถ้าเราไม่มีสติควบคุมตัวเอง
-เราจะขี้หลงขี้ลืม
- ทำสิ่งต่างๆผิดพลาด
-ไม่มีความสุขขณะที่ทำ เพราะมัวแต่ไปคิดเรื่องอื่น แล้วนั่งคิดว่า เมื่อไหร่งานตรงหน้าจะเสร็จเสียที




ตัวอย่างนี้จะประยุกต์ได้ดีกับนักเรียน นักศึกษา
อย่างเวลาฉันอ่านหนังสือ ก็จะเปิดเพลง เปิดคอมไปด้วย
จิตใจที่อยู่กับหนังสือก็ไม่ร้อยเปอร์เซนต์
อ่านแล้วก็ไม่รู้เรื่อง บางทีกลับมาอ่านใหม่อีกทีก็จำไม่ได้ทั้งหมด
แต่ถ้าเราอ่านด้วยสติ คือ สติอยู่กับตัวหนังสือร้อยเปอร์เซนต์
เราก็จะสามารถเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น
นอกจากนั้น การมีสมาธิ จะทำให้เราสมองแจ่มใส
แล้วเข้าใจในตัวบทเรียนได้ดีกว่าปกติ



ดังนั้นการล้างจานเพื่อล้างจาน ก็เหมือนการเจริญสติตลอดเวลา
เหมือนกับการนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม



นั่นก็คือ ตอนนั้นสติอยู่กับเราร้อยเปอร์เซนต์

ทำให้เราสามารถควบคุมตนเองได้ในทุกอิริยาบท
สังเกตว่า เวลาที่ปฏิบัติธรรม เขาจะให้เราเดินช้าๆ เพราะว่า เราจะต้องมีสติตลอดเวลา
เหมือนหัดเดินใหม่ ให้มีสติกับทุกก้าวที่เดิน

ลองดูในชีวิตประจำวันของเราสิ เรารีบจนไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
บางทีเราจะไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อกลางวันเรากินอะไรไป
หรือวันนี้ได้ไปพบกับใครมา

เรื่องการมีสติ ก็เกี่ยวเนื่องกับเรื่องศีล
การที่เราทำศีลขาด ส่วนใหญ่เพราะเผลอทำสติหลุด
ถ้าเรารู้ตัวตลอดเวลา เราจะไม่เผลอหยิบอาหารกินหลังเที่ยง
ไม่เผลอโกหก ไม่เผลอพูดจาส่อเสียดไปตามอารมณ์สนุก
ไม่เผลอทำร้ายคนหรือสัตว์ตามอารมณ์โกรธ
การที่เราทำศีลขาด ก็มาจากการที่เราลืมตัวทั้งนั้น
ดังนั้นสติจึงเป็นตัวควบคุมศีลอย่างหนึ่ง

จะเห็นว่าการเจริญสติ หรือ มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลาเป็นเรื่องดี
นอกจากนั้น มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งบอกว่า
การนั่งสมาธินั้นช่วยในด้านประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้
(ลองไปหาอ่านในหนังสือของคุณหนูดีดูนะ)
ทำให้เราไม่หลงลืม ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

จริงๆแล้ว หากลองฝึกดู ก็จะเห็นผลด้วยตนเอง
มากกว่าที่จะเขียนข้อดีทั้งหมดลงไป
ให้ดูเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ



ส่วนตัวเราเอง ขออธิบายว่า ที่สนใจในธรรมะช่วงนี้เป็นพิเศษ
เพราะมีปัญหา จิตใจไม่สงบ
เนื่องมาจากการพยายามทำหลายๆอย่างในเวลาเดียวมากเกินไป
เพราะคิด "อยาก" ทำสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้
ความอยากนี้มันกัดเราอยู่
ทำให้เราเครียด จะเป็นโรคประสาทเอาได้
นั่งฟังเทศน์ท่านพุทธทาส ท่านบอกว่า
"ดูคนสิ กินยาแก้โรคประสาท กินกันทั้งโลกวันๆนึงไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนเม็ด
แล้วดูแมว แมวมันเคยเป็นโรคประสาทปวดหัวเหมือนคนที่ไหน
เราเนี่ยต้องอายแมว แมวมันไม่เคยปวดหัวจนต้องกินยาสักเม็ดครึ่งเม็ด"
ตอนนี้เลยต้องฝึกสติมากๆ ไม่ใช่ว่าเราวิเศษอะไร แต่เพราะเรามีปัญหา แล้วก็เห็นมัน
พยายามมีความสุข และยิ้มให้กับปัจจุบันขณะได้

หวังว่าคงจะช่วยทำให้คำว่า ล้างจานเพื่อล้างจาน กระจ่างขึ้น

เปลี่ยนแปลง

เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเพิ่งลงรูปมหาวิทยาลัยที่เราจบมา
ตอนนี้มีการสร้างตึกใหม่ ทุบตึกเก่า เปลี่ยนรูปแบบ ปลูกต้นไม้ใหม่
จนพวกเราหลายๆคน จำแทบไม่ได้ว่าเคยพักอาศัยอยู่ที่แห่งนั้น
เพื่อนฉันหลายคนแสดงความคิดเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
ส่วนตัวฉันเอง ไปเห็นสถานที่มาเมื่อปีที่แล้ว ยอมรับว่าโหวงๆ
คล้ายๆกับว่า สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เหมือนกับในความทรงจำของฉันอีกแล้ว
แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
ถ้าเรายอมรับมันไม่ได้ เราก็มีแต่เสียใจ กับ เจ็บปวด

เพื่อนที่ฉันไม่ได้เจอกันหลายปี
วันหนึ่งมาเจอกัน กินข้าวกลางวันกัน
ก่อนจากกัน เพื่อนฉันบอกว่า
แกเปลี่ยนไปนะ
ฉันอึ้ง พูดอะไรไม่ถูก
จนฉันมาคิดได้ว่า
เพื่อนฉันคงรู้สึกเศร้าใจ
เหมือนที่เวลาเราเห็นตึกที่เรารู้จัก
ถูกสร้างหรือเปลี่ยนแปลงใหม่
แต่ฉันคิดว่ามนุษย์นั้นก็เหมือนต้นไม้
ต้องมีวันโต วันเปลี่ยนแปลง แล้วก็วันที่ตายลง
ฉันยอมรับว่าตอนนั้นสับสน
ความเศร้าของเพื่อนมันบอกได้ทางน้ำเสียง
แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ
ฉันคงไม่อาจเป็นเหมือนเดิมเหมือนเมื่อสี่ห้าปีก่อน
เป็นคนเดิมเหมือนคนในความทรงจำของเพื่อนฉันได้แล้วล่ะ


บางทีความทรงจำอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ได้
ภาพของตึกเรียนที่ฉันคุ้นเคย ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนตัวตึกที่ตั้งอยู่
ภาพรอยยิ้มของเพื่อน ภาพความทรงจำในอดีต
เหล่านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
แต่ฉันกลับรู้สึกว่า มันค่อยๆเลือนลางไปเรื่อยๆ
คล้ายๆรูปภาพในอัลบัมที่นานวันไปค่อยๆจางลง

ในที่สุดสิ่งที่เรารู้จัก ความทรงจำของเรา หรือแม้แต่ตัวเราก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง เลือนหาย
เป็นรูปที่แจ่มชัดในตอนแรก แล้วค่อยๆเลือนลางลง ในที่สุดก็เหลือเพียงกระดาษที่ว่างเปล่า

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

จุดต่อจุดคือเส้น

เคยเดินไปอย่างไม่มีจุดหมายไหม
ฉันเคยนะ ตอนที่อยู่ในกรุงเทพ
รถสายไหนมาก็ขึ้น อยากลงตรงไหนก็ลง
มันออกจะเป็นการเดินทางของคนประหลาดพอควร
ฉันจึงมักเลือกเดินทางอย่างนี้เพียงลำพัง
เพราะการเดินทางของคนส่วนใหญ่คือจุดหมายปลายทาง
แต่จุดหมายปลายทางของฉันคือการเดินทาง

ฉันนั่งคิดว่าเส้นทางกับจุดหมายนั้นต่างกันที่ตรงไหน
มันคงต่างกันที่จุดหมายคือสิ่งที่เราตั้งใจที่จะไป
ส่วนเส้นทางก็เป็นเพียงทางผ่านไปยังจุดหมาย
แต่เมื่อฉันผ่านจุดหมายในชีวิตหลายๆอย่างเข้า
ฉันกลับพบว่าจุดหมายก็คือเส้นทางอย่างหนึ่ง
มันเป็นเพียงทางผ่านจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
พอผ่านมันมากเข้า มากเข้า
สิ่งที่เีราเรียกว่าจุดหมาย อาจจะไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิต

ตอนฉันเรียนม.ปลาย จุดหมายของฉันตอนนั้นคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แต่จุดหมายนี้ ก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้ายสำหรับฉัน
ฉันยังต้องเรียนอย่างหนักในมหาวิทยาลัย เพื่อจบตามเป้าหมายที่วาดไว้
แต่มันก็ยังไม่สุดท้ายอยู่ดี มันเป็นเพียงการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง
แล้วจุดหมายก็กลายเป็นทางผ่าน

ดังนั้นตอนนี้ การไปถึงจุดหมายปลายทางกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญในชีวิตฉัน
เพราะทุกก้าวที่เท้าฉันข้ามผ่าน มันก็มีความเป็นจุดหมายปลายทางในตัวของมันเอง
มีความสำคัญในตัวของมันเอง เหมือนขั้นบันไดที่เราต้องเดินไต่ขึ้นไป ทีละขั้น ทีละขั้น

เพราะชีวิตคือการเดินทาง
เราไม่อาจหยุดเดินบนเส้นทางของกาลเวลาได้
วันที่เราถึงปลายทางของชีวิตนี้ก็คืิอวันที่ลมหายใจของเราบนโลกนี้หมดลง

ย่ำไปบนดวงดาว



















นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ยืนมองท้องฟ้ากว้างๆ
ที่ปราศจากการบดบังของยอดตึก
นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้หยุดดูดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
มองเห็นผึ้งกำลังสะสมน้ำหวาน
มองดูนกจิกกินเมล็ดพืช
แล้วยิ้มให้กับสายลมบางเบาที่พัดมากระทบใบหน้า

ฉันไม่รู้หรอกว่าการย่ำเท้าบนดวงจันทร์จะให้ความรู้สึกเช่นไร
แต่แค่ย่ำเท้าไปบนพื้นโลก ดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติ
มันก็รื่นรมย์เพียงพอสำหรับฉันแล้ว

วันที่นกไม่บิน

วันนี้ฝนตกทั้งวันตั้งแต่เช้า
ฝนตกแทบจะตลอดเวลา
ไม่มีเสียงนกสักตัวให้ได้ยิน
พวกมันคงรู้ว่าวันนี้ออกบินไม่ได้


อาจจะมีบางเวลาที่เราเองไม่สามารถออกบินได้
อย่าหงุดหงิดไปเลย จงรื่นรมย์กับเสียงของฝนเถอะ


วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ศีลขาด

เมื่อวานทำศีลขาดไปหนึ่งข้อ คือเผลอร้องเพลง
แล้วก็เลยฟังเพลงเลย T^T
แต่ข้อสำคัญคืองดอาหารหลังเที่ยง ยังคงถือได้อยู่
ที่มันสำคัญสำหรับเรา เพราะว่า เราเป็นพวกบริโภคเพราะอยาก
ดื่มน้ำผลไม้กับน้ำชา ก็อยู่ได้ แต่กลางดึกท้องร้องเสียงดังมาก 555++
เมื่อวานแทบไม่ได้พูดกับใครเลย
อาจจะเจอคนที่แลบแล้วเซย์ไฮ
แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นพิเศษ
ซึ่งรู้สึกได้พักผ่อนมาก
แล้วก็ทำให้เราไม่จำเป็นต้องพูดปดหรือเพ้อเจ้อด้วย
สภาพจิตใจก็โอเค ไม่รู้สึกหิวเหมือนตอนที่ถือครั้งแรก
ตอนนั้นคิดถึงแต่เรื่องอาหาร
คราวนี้ไม่ได้คิดถึงอาหาร นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ
ก็โอเคดีอยู่ ไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนเมื่อเช้ากินข้าว รสข้าวมันไม่เหมือนเดิม
แบบว่ารู้สึกว่ากินกันตายขึ้น
ไม่ได้รู้สึกว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อยเป็นพิเศษ
แต่คาดว่าความรู้สึกนี้จะค่อย fade ไป

อยาก

อย่ามัวแต่แค่อยาก......



แต่จงลงมือทำซะ !!!

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

แอปเปิลของนิวตัน

ก่อนที่นิวตันจะค้นพบทฤษฏีแรงโน้มถ่วงของโลก
คงเคยมีคนนั่งใต้ต้นแอปเปิล
แล้วเห็นลูกแอปเปิลหล่นมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
แต่นิวตันกลับเป็นคนเดียวที่มองเห็นทฤษฏีในลูกแอปเปิลนั้น

วันหนึ่งฉันนั่งคุยกับเพื่อน
แล้วเพื่อนก็ขอตัวไปล้างจาน
ฉันเลยแซวว่า
ล้างจานเพื่อล้างจานนะ
เพื่อนตอบกลับมาว่า
เราล้างจานเพื่อให้จานสะอาดน่ะ
ฉันเลยบอกเพื่อนว่า ไม่เกทมุกเลย
ฉันกำลังพูดถึงหนังสือปาฏิหารย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ
เพื่อนฉันบอกว่า อื้ม รู้ว่าพูดถึงอะไร
เคยอ่านแล้ว แต่ไม่เกท
คำว่า ล้างจานเพื่อล้างจาน จึงกลายเป็นแค่สิ่งธรรมดาสำหรับเพื่อนของฉัน


มันอาจจะมีเรื่องราวดีดีมากมายนับร้อยพันที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา
แต่เราก็ไม่อาจหยิบฉวยหรือทำความเข้าใจกับมันได้ทั้งหมด
บางคนไพล่ไปบอกว่า ไม่เห็นว่าเรื่องคนที่ว่าดีนั้น ดีตรงไหน
ฉันคิดว่า คนพวกนี้อาจจะใจแคบนิดหน่อย
มันมีเรื่องราวหลายอย่างที่เดิมทีเราไม่เข้าใจ
แต่ความรู้และประสบการณ์ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต
อาจจะค่อยๆเผยความมหัศจรรย์ในสิ่งธรรมดาทีละน้อย ทีละน้อย

เหมือนนิวตันที่ค้นพบทฤษฏีที่อธิบายแรงโน้มถ่วงของโลก
ด้วยเสียงของแอปเปิลตกลูกเดียวเท่านั้น


พรุ่งนี้วันพระ

พรุ่งนี้วันพระ เลยจะถือศีลแปด

เราไม่ได้เคร่งอะไรหรอก

เพียงแต่คิดว่าช่วงนี้จิตใจมันขึ้นๆลงๆ

ศีลก็เป็นตัวช่วยให้เรามีชีวิตที่เป็นปกติ

อีกอย่างรู้สึกอยากไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์

แต่คิดไปคิดมา อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น

ไม่ควรยึดติดกับเวลาและสถานที่

พรุ่งนี้คงงดอัพบลอกหนึ่งวันนะจ๊ะ ;D

เทพธิดาพยายาม

หลายคนพอมีปัญหา
ก็หันหน้าพึ่งญาติบ้าง เพื่อนบ้าง
บางทีไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
ก็อาศัยไปดูหมอดู
ให้หมอดูตรวจดวงชะตา
ว่าช่วงนี้เป็นอย่างไร มีเคราะห์กรรมอะไร
แล้วต้องแก้ด้วยวิธีไหน

จริงๆ ถึงจะเป็นหมอดูที่แม่นที่สุด
ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
อย่างมากเขาก็จะบอกว่าตอนนี้ชีวิตเป็นอย่างไร
แล้วในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
เช่น เมื่อเขาบอกว่าช่วงนี้ดวงไม่ดี
เราก็จะใจชื้นขึ้น แล้วคิดว่า
เห็นไหมที่ฉันโชคร้ายนั้นเกิดมาจากดวง(ล้วนๆ)
ฉันไม่เคยเห็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยดวงอย่างเดียวจริงๆ


หลายคนประชดประชันชีวิตว่า ที่คนอื่นเรียนเก่งเพราะเขาหัวดี
ส่วนตัวฉันเองนั้นโง่และไร้ความสามารถ
ที่คนอื่นได้เลื่อนตำแหน่งเพราะเขาเลียแข้งเลียขาเจ้านาย
คนเหล่านั้นโชคดี ส่วนตัวฉันโชคร้าย
แต่คนที่คิดอย่างนั้นอาจจะลืมตัวแปรสำคัญบางอย่างไปในสมการชีวิตของพวกเขา
สิ่งนั้นคืิอความพยายาม

เมื่อก่อนฉันเห็นพ่อแม่บางคนลูบหัวลูกแล้วบอกว่า
ลูกฉันไม่โง่หรอก เป็นเด็กประเภทหัวดีแต่ขี้เกียจ
"แล้วไงล่ะ" ฉันคิด
ฉันหัวไม่ดีหรอก แต่ฉันขยันแทบตาย ฉันพยายามสุดโต่ง
ฉันรู้สึกหงุดหงิดกับคนที่คิดว่าตัวเอง "หัวดีแต่ขี้เกียจ" อย่างสุดซึ้ง
พวกเขาคงคิดว่า นี่ถ้าคนฉลาดอย่างพวกเขาตั้งใจเรียนอีกสักหน่อย เขาก็เก่งได้
แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นไอ้พวกหัวดีแต่ขี้เกียจมันฉลาดขึ้นมาสักวัน
เพราะว่าแค่หัวดีอย่างเดียว แต่ไร้ความพยายาม มันสู้คนอื่นไม่ได้หรอก

ฉันไม่รู้หรอกว่าเหล่าเทพธิดาพยากรณ์บอกอะไรกับเรานัก
แต่ฉันเชื่อว่าหมอดูทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตใครได้
ฉันว่าเราหันมาบูชาเทพธิดาพยายามกันดีกว่า
เชื่อฉันเถอะว่า มีแต่ตัวเราเท่านั้นล่ะ ที่เป็นคนควบคุมชีวิตของเราเองได้จริงๆ
ไม่ีมีใครมาทำให้มันดีขึ้น หรือ แย่ลงได้นอกจากตัวเราเอง