วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มองออกไป

เพื่อนเราอกหักและบ่นกับเราว่าไม่อยากทำอะไรอีกเลย
(ก็บ่นแบบคนอกหักบ่นนี่แหล่ะ)
เราก็ขอเพื่อนเราแค่ข้อเดียว
คือขอให้ดำเนินชีวิตตามปรกติ
ทำสิ่งที่ต้องทำ เข้าห้องเรียน ทำการบ้าน กินอาหาร
ไม่ว่าจะรู้สึกแย่แค่ไหน
ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
เหมือนเวลาที่เราไม่อยากลุกไปไหน
ในที่สุดเราก็ต้องเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ กินอาหาร
เพราะเรายังไม่ตาย
เราบอกเพื่อนว่า
อย่างน้อยตอนนี้เสียใจอยู่แล้ว
แต่ถ้าไม่ทำสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้
คราวนี้จะมีปัญหาที่แก้ไม่ตกตามมามากมาย
เพื่อนเราก็บ่นนิดหน่อยว่ามันไม่เข้มแข็งอย่างนั้น
เราก็บอกว่า ขอให้ลองทำ
บางที ในวันที่เราเศร้าสุดๆ
เราก็ต้องออกไปทำงาน
ออกไปทำสิ่งที่ต้องทำ
แม้จะเสียใจก็เก็บน้ำตาเอาไว้ข้างใน
แล้วเดี๋ยวเราจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น
เราบอกเพื่อนว่าเราลองมาหมดแล้ว
หมกตัวอยู่ในห้อง
ครุ่นคิด ถึงขั้นเกือบจิตหลุด
วิธีที่ดีที่สุดคือให้ออกมาเดิน
เดินข้างนอก
ทำสิ่งที่ต้องทำ

เพื่อนเราก็ยังดีที่ไม่ดื้อ
หลังจากโดนด่ากราดไป
ก็หันมากินข้าวบ้าง
(หลังจากมันไม่กินอะไรเลยสองวัน)
แล้วก็ออกไปเรียนอย่างที่โดนด่าให้ไปทำ
(ไอ้พวกนี้มันซาดิสม์แน่ๆ ชอบให้ด่า)

เมื่อสองวันก่อนเพื่อนเราก็โทรมา
เพื่อนเราบอกว่า ตอนที่มันเดินๆอยู่ข้างนอก
อยู่ดีดีก็คิดได้ว่า ที่ที่มันควรอยู่ก็คือที่นี่(หมายถึงที่ๆมันไปเรียน)
แล้วก็มีงานข้างหน้ารอให้มันทำตั้งมากมาย
(เราคิดว่า เพื่อนเราเริ่มคิดได้ แล้วเริ่มเสียดายเวลา
และสุขภาพจิต กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น)
เพราะตอนที่เราโทรศัพท์คุยกับมัน
เราบอกว่า เราอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
แต่พอออกไปเดินข้างนอก
จู่จู่ เราก็จะรู้สึกถึงชีวิต
รู้สึกว่า นี่แหล่ะคือชีวิต
คือการเดินไป และทำสิ่งที่ต้องทำ
อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก
เหมือนจะเป็นการเปลี่ยนผ่านทัศนคติอะไรสักอย่าง
แล้วเราก็เหมือนตื่นขึ้นมา
แล้วเข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต

โลกนี้มันมีอะไรมากกว่าความรัก มากกว่าความสำเร็จ มากกว่าความโด่งดัง
อะไรสักอย่างที่มันจับต้องไม่ได้ เหมือนแสง..
มันจับต้องไม่ได้ แต่ส่องให้เห็นโลก
แล้วเราก็ยังคงเดินต่อไป.. และหายใจอยู่

ไม่มีความคิดเห็น: